วันที่ 03 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6975 ข่าวสดรายวัน อดีตนอภ.หันหลังชีวิตราชการ ทำนาแบบโยนต้นกล้า-ลดต้นทุนควบคุมวัชพืช
"ใครที่สามารถรับภารกิจตรงนี้ได้ก็จะมอบที่ดินให้ใช้ประโยชน์เพื่อชุมชน เพราะก็อายุมากแล้วส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัยก็จะกันไว้ในส่วนหนึ่ง ประโยชน์ของการทำนาโดยเฉพาะใช้วิธีโยนต้นกล้านั้นคือ การทุ่นแรงงาน ไม่ปวดหลัง ซึ่งจริงๆ แล้วเมืองจีนเป็นคนที่ริเริ่มการพัฒนาการทำนา โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมได้อย่างเหมาะสม ทำให้การทำนาในเขตชลประทานได้ผลผลิตสูงกว่าในเขตนาน้ำฝนของประเทศ และสามารถผลิตข้าวได้มากกว่าปีละ 1 ครั้ง" นายชาญ กล่าวอีกว่าเกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกข้าวโดยวิธีการหว่านน้ำตม ใช้พันธุ์ข้าวไม่ไวต่อช่วงแสง อายุสั้น เก็บเกี่ยวข้าวด้วยเครื่องเกี่ยวนวดโดยเฉพาะพื้นที่นาชลประทานในภาคกลางใช้ อัตราเมล็ดพันธุ์สูง ปัจจุบันราคาเมล็ดพันธุ์กิโลกรัมละ 20-23 บาท และเมล็ดพันธุ์ดีก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ นอกจากนี้การทำนาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น 2 ปี 5 ครั้ง หรือ ปีละ 3 ครั้ง ย่อมส่งผลกระทบถึงสภาพแวดล้อม เช่น ปัจจุบันการทำนาในภาคกลางประสบกับปัญหาข้าววัชพืช ระบาดอย่างรุนแรง เกษตรกรที่ทำนาแบบหว่านน้ำตม ส่วนหนึ่งเปลี่ยนวิธีการทำนาเป็นการปักดำด้วยเครื่องปักดำเพื่อควบคุมปริมาณ ข้าววัชพืช ปัญหาที่ตามมาก็คือเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถเตรียมดินให้เหมาะสมกับการทำงาน ของเครื่องปักดำได้ และอัตราค่าปักดำค่อนข้างสูงคือ ไร่ละ 1,100-1,200 บาท (รวมเมล็ดพันธุ์ข้าว) วิธีการปลูกข้าวแบบโยนกล้า เป็นการทำนาแบบใหม่ที่สามารถนำมาใช้แทนการปักดำด้วยเครื่องได้แนะนำให้เป็น ทางเลือกใช้พื้นที่ พื้นที่ปัญหาข้าววัชพืชมาก หน้า 28 http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2NtOHdNVEF6TURFMU13PT0=§ionid=TURNeE13PT0=&day=TWpBeE1DMHdNUzB3TXc9PQ== |
วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2553
อดีตนอภ.หันหลังชีวิตราชการ ทำนาแบบโยนต้นกล้า-ลดต้นทุนควบคุมวัชพืช
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น