Teachings of Buddha Product by manoon Chongwattananukul

คลิป มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook ในรายการ โอปราห์ วินฟรีย์

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เพลง ส่งยิ้ม โดย สองวัย

ไม้ไผ่ร้องเพลง โดย สองวัย

ถามรถไฟ โดย สองวัย

ดอกไม้หายไปไหน โดย สองวัย

ดอกไม้หายไปไหน โดย สองวัย

อย่าเด็ดปีกผีเสื้อ (น้าต้อม สองวัย - กิตติพงศ์ ขันธกาญจน์)

"อย่าเด็ดปีกผีเสื้อ" : น้าต้อม สองวัย - กิตติพงศ์ ขันธกาญจน์คอนเสิร์ตโบยบิน...จินตนาการ - 31 สิงหาคม 2546 กลุ่มรองเท้าแตะ (www.9dern.com)

สะพานสายรุ้ง อี๊ด ฟุตบาท

~~ ให้สายรุ้งนั้นคือสะพาน ข้ามลำธารผ่านภูผา ผ่านเมืองแมนแดนศิวิไลซ์ ผ่านป่าดงพงไพรพนา ข้ามมหาสมุทร...ไกลสุดตา ทอดต่อโยงทั่วทุกแดน เชื่อมทุกแคว้นให้ถึงกัน ก้าวเดินไปบนสะพาน มือประสานกระชับมั่น ไม่กีดกัน..แบ่งผิวพันธุ์ ~~
Category:

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เหมียวยึดครอง

วันที่ 05 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7189 ข่าวสดรายวัน


เหมียวยึดครอง


เอิ๊กอ๊ากอินเตอร์




พิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเนวา นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในรัสเซีย โดดเด่นกว่าที่อื่นๆ ก็ตรงที่ "โดนยึด"

ผู้ ยึดพื้นที่เป็นเจ้าสี่ขา ร้องเมี้ยวๆ ไม่ใช่แค่ตัวสองตัว แต่มีถึง 60 ตัว!! โผล่ไปทั่วตึก เอบีซีถ่ายรูปมาให้ดูตั้งแต่ชั้นล่างถึงชั้นบน

ผู้ช่วยผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์กล่าวว่า ที่นี่มีแมวอาศัยอยู่นานหลายร้อยปีแล้ว สมัยก่อนราชวงศ์เอามาไว้จับหนู

ถึงปัจจุบันก็รับประกันได้ว่า หนูๆ ไม่กล้าแหยม!!


หน้า 7

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObWIzSXpNREExTURnMU13PT0=&sectionid=TURNd05nPT0=&day=TWpBeE1DMHdPQzB3TlE9PQ==
--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php

"ฟาวด์พอยต์"เว็บเพื่อสังคม ศูนย์ตามหา"ของหาย"ยุคไซเบอร์




วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7187 ข่าวสดรายวัน


"ฟาวด์พอยต์"เว็บเพื่อสังคม ศูนย์ตามหา"ของหาย"ยุคไซเบอร์


ศักดิ์สกุล กุลละวณิชย์ / รายงาน




ณัฐพงศ์ เทียนดี เว็บมาสเตอร์ฟาวด์พอยต์

ในชีวิตที่ผ่านมาของคนเรา คงมีบ้างที่เคยทำของหาย ไม่ก็เจอสิ่งของที่คนอื่นทำตก หรือลืมไว้ตามที่ต่างๆ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ย่อมต้องนำมาซึ่งความกระวนกระวายใจแก่ เจ้าของ หรือแม้แต่คนที่เก็บของได้ก็ตาม

และสิ่งแรกที่ควรทำก็คือไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความหาเจ้าของ หรือลงบันทึกประจำวันแจ้งทรัพย์สินสูญหายไว้

จากนั้นส่วนมากคงได้แต่เฝ้ารอการติดต่อกลับ เฝ้าคิดว่ามีจะโอกาสได้ของคืนหรือไม่ หรือต้องออกตามหากันเอาเองตามยถากรรม

แต่ ณ ปัจจุบัน ในโลกยุคข้อมูลข่าวสาร ในโลกแห่งอินเตอร์เน็ต ได้มีกลุ่มบุคคลคิดดีทำดี ลุกขึ้นมาสร้าง "พื้นที่" ที่จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการหาของส่งคืนให้กับเจ้าของ หรือการตามหาของที่สูญหายไป

เว็บไซต์ฟาวด์พอยต์ (www.foundpoint.com) เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์มาไม่ถึงครึ่งปี แต่มีจุดมุ่งหมายแน่วแน่ในการช่วยเหลือผู้ที่กำลังทนทุกข์กับเรื่องนี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ หรือแนวคิดการจัดทำเว็บที่ว่า "ของของใคร ใครก็รัก!"

"อยากให้ฟาวด์พอยต์เป็นฐานข้อมูลตั้งต้นในการตามหาคน สัตว์ สิ่งของ ที่หายไป อยากให้ทุกคนได้เข้ามาใช้ในยามที่ยากลำบาก และก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังตามหาอะไรก็ตาม" นายณัฐพงศ์ เทียนดี เว็บมาสเตอร์ฟาวด์พอยต์ เผยแรงบันดาลใจก่อตั้งเว็บเพื่อสังคม



ณัฐพงศ์ เล่าประวัติชีวิตย่อๆ ว่า เป็นบัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ ด้านอิเล็กทรอนิกส์ จากรั้วลาดกระบัง ที่หันเหมาทำงานด้านออกแบบสื่อเว็บไซต์ และมัลติมีเดีย ร่วมมือกันก่อร่างสร้างเว็บกับ ทิศา ปทุมวัน ในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ ศุภชัย ใจโต และรัชนียา เอมสาร รับผิดชอบเรื่องข้อมูล

โดยแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดเว็บฟาวด์พอยต์ขึ้นมานั้น ณัฐพงศ์ขยายความไว้ว่า

"ผมทำเว็บบล็อกมาประมาณ 5-6 ปีได้แล้ว เป็นบล็อกที่ค่อนข้างไร้สาระ คือให้คนเข้ามาอ่านเอาฮาอย่างเดียว พอทำเรื่องไร้สาระมากๆ เข้า วันหนึ่งก็เกิดอยากจะเป็นคนดีของสังคม เพราะไปถ่ายรูปงานรับปริญญาให้น้องชาย แล้วผมดันซุ่มซ่าม ทำเมมโมรี่การ์ดกล้องถ่ายภาพหล่นหาย

น้องผมเศร้ามากเพราะเสียดายรูปที่ถ่ายมาอย่างสวย ส่วนผมรู้สึกผิดสุดๆ ระหว่างคอตกกลับบ้านกันทั้งพี่ทั้งน้อง ผมเห็นคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ ก็คิดได้ว่า มันอาจจะมีคนสักคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านเราไปนี่แหละ ที่เป็นคนเก็บได้ แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นของเรา

ผมคิดว่าพื้นฐานทุกคน พอเก็บของได้แวบแรก ต้องคิดอย่างแรกเลยว่า ของนี่ของของใคร แล้วจะคืนเจ้าของยังไง ส่วนแว้บที่สองอาจจะเป็นแว้บ "มาร" ซึ่งอาจจะเป็นมารเพราะจำใจ หาเจ้าของไม่ได้เลยเก็บไว้เอง หรือเป็นมารเพราะใจตน เก็บไว้เป็นของตัวเองดีกว่า...จะคืนมันทำไม

ผมเลยคิดว่า ถ้ามีคำตอบให้กับแว้บแรก ว่าจะคืนเจ้าของยังไง และเขารู้ว่าต้องมาที่เว็บฟาวด์พอยต์ เขาก็อาจจะไม่คิดที่จะยึดไว้

ส่วนคนทำของหายจะกระตือรือร้นกว่าคนเจอของอยู่แล้ว และต้องลงประกาศหาของไปทั่วแน่นอน ในความคิดผม การกระจายประกาศในวงกว้างมันมีส่วนดีสำหรับข้อมูลบางประเภท แต่สำหรับเรื่องแบบนี้น่าจะมีศูนย์กลางที่รวมข้อมูลไว้จะดีกว่า เพราะจะทำให้หาข้อมูลได้ง่ายขึ้น

1.กล้องฟิล์มของชาวต่างชาติ ที่ณัฐพงศ์เก็บได้และกลายเป็นแรงบันดาลใจก่อตั้งเว็บเพื่อสังคม foundpoint.com

2.ฟิล์มที่ณัฐพงศ์ล้างออกมาจากกล้องชาวต่างชาติ และนำมาลงประกาศหาเจ้าของในฟาวด์พอยต์



ส่วนแรงบันดาลใจอีกอันนึง ก็เป็นกรณีที่จำใจเก็บของเขามา เพราะไม่รู้จะไปคืนที่ไหน คือกล้องฟิล์มของชาวต่างชาติ ที่เก็บได้บนรถตุ๊กตุ๊กแถวปากคลองตลาดเมื่อสิบปีก่อน จนบัดนี้กล้องและฟิล์มที่ล้างเป็นภาพออกมาแล้วก็ยังนอนแอ้งแม้งอยู่บ้านผม

ส่วนสาวเจ้าของกล้องที่อยู่ในภาพถ่ายคงจะเสียดายและปลงตกไปแล้วว่า ชีวิตนี้คงไม่ได้กล้องและความประทับใจจากเมืองไทยคืนกลับไปเป็นแน่แท้ ไม่ต้องบรรยายความรู้สึกของเธอเหล่านั้นให้มากความครับ แค่คิดว่าเป็นเรา คงเสียใจแน่นอน"



สําหรับวิธีการใช้งานเว็บฟาวด์พอยต์นั้นเว็บมาสเตอร์ไฟแรง อธิบายว่าไม่ยุ่งยากซับซ้อน ใช้งานง่ายๆ เพื่อให้เข้าถึงคนหมู่มาก

"ง่ายมากครับ พอเข้ามาในหน้าแรก ก็จะเจอหัวข้อใหญ่มากคือ "หา" กับ "เจอ"

ก็ตรงตัวเลย คือคุณกำลังตามหาอะไรก็ลงประกาศไว้ในหัวข้อ "หา" และคุณไปเจออะไรมาที่ไม่ใช่ของของคุณ แล้วต้องการจะมาตามหาเจ้าของที่นี่ก็ไปที่หัวข้อ "เจอ" ส่วนรายละเอียดการลงประกาศก็มีความหมายตามหัวข้อของมัน ผมตั้งใจให้มันเข้าใจง่ายที่สุด

นอกจากนั้นก็คือผมจะแยกวันที่ลงประกาศกับวันที่ของหายออกจากกัน เพราะบางคนทำของหายแล้วกว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไปหลายวัน หลายเดือน หรือหลายปี เพิ่งจะมาลงประกาศ ระบบจะได้มีข้อมูลที่ถูกต้องเก็บไว้

และที่พิเศษก็คือฟังก์ชัน "หัวใจสีแดง" ที่อยู่ใต้หัวข้อประกาศ ซึ่งเป็นปุ่มที่เมื่อเจ้าของประกาศหาของหรือตามเจ้าของเจอแล้วจะมาทำการกดเพื่อยืนยันว่าประกาศนั้นๆ ได้เคลียร์แล้ว และทางฟาวด์พอยต์จะย้ายประกาศนั้นไปไว้ในหมวดหมู่ "หาเจอแล้ว"

ส่วนเสริมส่วนสุดท้ายคือ "แอดดิส" (add this) เป็นเครื่องมือกระจายข้อมูลประกาศของคุณออกไป โดยแชร์ไปยังโซเชี่ยล เน็ตเวิร์กต่างๆ ที่คุณมีแอ๊กเคานต์อยู่

ในแผนต่อไปผมคิดว่าจะพัฒนาระบบค้นหาภายในฟาวด์พอยต์ให้ดีขึ้น รวมถึงระบบปักหมุดประกาศแบบต่างๆ สำหรับประกาศที่ต้องการความช่วยเหลือ เร่งด่วน ฉุกเฉิน จะได้มาลงประกาศพิเศษไว้ตรงนั้น"



เว็บไซต์ที่มีเจตนาดีๆ เช่นนี้จะไม่เกิดประ โยชน์เลย หากไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ซึ่งในส่วนนี้ ณัฐพงศ์ให้ความเห็นถึงตลอดช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เปิดหน้าเว็บในวันแรก ว่า

"เว็บเพิ่งเปิดได้ไม่นานครับ สัก 4-5 เดือน ก็เริ่มมีคนเข้ามาใช้บ้างแล้วครับ ผมพยายามประชาสัมพันธ์ไปในเว็บต่างๆ ที่พอจะรู้จักกัน เขาก็น่ารักมาก ช่วยประชาสัมพันธ์กันเต็มที่

ผมรู้สึกดีใจมากเวลามีคนมาลงประกาศใหม่ๆ เพราะรู้สึกว่าเริ่มเป็นที่รู้จัก แต่ไม่ใช่ดีใจที่มีคนทำของหายนะครับ โดยเฉพาะกับจำนวนตัวเลขของประกาศ "หาเจอแล้ว" ในด้านบนของเว็บ เวลามันเพิ่มจำนวนขึ้น ก็ถือเป็นกำลังใจของคนทำเว็บ และอีกทางหนึ่งก็เป็นการสร้างกำลังใจให้กับผู้ลงประกาศคนอื่นว่า มีคนหาของเจอแล้วจริงๆ งั้นเราเองก็มีหวังเหมือนกัน"

หน้าตาเว็บไซต์ฟาวด์พอยต์



ที่ผ่านมามีเรื่องราวน่าสนใจเกิดขึ้นในพื้นที่ของ "ฟาวด์พอยต์" มากมายหลายเรื่อง ซึ่งณัฐพงศ์หยิบยกบางแง่มุมมาเล่าให้ฟังว่า

"หลังจากปล่อยให้เว็บมันดำเนินไปของมันช่วงระยะหนึ่งซึ่งไม่นาน ผมเห็นคนที่ตามหาของที่ตัวเองทำหายหลายคนครับ แต่มีคนนึงที่ผมอ่านประกาศของเขาแล้วผมน้ำตาจะไหล นึกถึงประโยคที่ว่า "ของของใคร ใครก็รัก" ขึ้นมาทันทีเลย คือประกาศตามหาของหลายชิ้นที่ลืมไว้พร้อมกัน ประกอบด้วย หมวกการ์ตูนรูปอุนจิ เครื่องเกมพีเอสพี หูฟังสีเขียว กระเป๋าสะพาย บัตรนักศึกษา บัตรพนักงาน

พอคลิกเข้าไปแล้ว ยิ่งอยากให้เขาตามหาของให้เจอมากเลย เขาเขียนว่า หายบนรถแท็กซี่ ฝนตกแล้ววางกระเป๋าไว้เบาะหน้า เอาร่มมารับเพื่อน รู้ตัวอีกที ลืมของไว้ด้านหน้ารถเนี่ยล่ะครับ ไม่ได้เสียดายเงิน แต่เสียดายเพราะแต่ละอย่างค่อยๆ ซื้อ ค่อยๆ หาเก็บเงินจนได้ มันเห็นภาพไหม ผมนึกภาพถึงตอนที่เขาอดขนม หรือเก็บออมเงินเอาไว้ซื้อหมวก และเครื่องเกม ใครอาจจะมองว่าเป็นแค่หมวกบ๊องๆ เครื่องเกมไร้สาระ แต่ผมขอทวนประโยคนี้อีกทีที่ว่า "ของของใคร ใครก็รัก" ฝากไว้เป็นกำลังใจว่า ยังมีคนเข้าใจความรู้สึกและเอาใจช่วยอยู่นะครับ



สำหรับบางประกาศ เช่นประกาศหากระเป๋าสตางค์ มีบ่อยมาก บางประกาศกลายเป็นประกาศ "หาเจอแล้ว" เพราะมีพลเมืองดี ส่งบัตร และเอกสารภายในกระเป๋าคืนกลับมาให้เจ้าของตามที่อยู่ในบัตร

พอเจ้าของได้รับของคืน ก็มาโพสต์ข้อความไว้ในประกาศว่า ได้รับของคืนแล้วนะ ผมได้อ่านแล้วก็ปลื้มใจมาก เพราะนอกจากเขาจะได้ของคืนแล้ว ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนน่ารักและมีมารยาท เขาทำของหาย เขามาลงประกาศตามหา และพอมีคนมาคืนของให้เขา จะด้วยเพราะเข้ามาในฟาวด์พอยต์หรือไม่ก็ตาม เขาก็มากล่าวคำขอบคุณ ทั้งๆ ที่คนที่ส่งของคืนมาให้ จะได้อ่านข้อความขอบคุณของเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เขาก็ยังให้เกียรติและแสดงความนับถือในน้ำใจกลับไปยังพลเมืองดีคนนั้น

สำหรับผม ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ยิ้มได้เลยจริงๆ"



อนาคตของ "ฟาวด์พอยต์" ณัฐพงศ์ตั้งความหวังถึงการได้ทำหน้าที่ในวงกว้างขึ้น หรือได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ซึ่งถือเป็นก้าวย่างที่เลี่ยงไม่ได้ของการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อช่วยเหลือผู้คน

"อนาคตผมอยากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เข้ามาใช้ฟาวด์พอยต์ อยากให้ จส.100 หรือร่วมด้วยช่วยกัน หรือสถานีตำรวจที่รับแจ้งความเกี่ยวกับของหาย คนหาย ฯลฯ เข้ามาใช้เว็บให้เป็นจริงเป็นจัง เพราะทุกวันนี้ฟังวิทยุมีเรื่องราวของหายบ่อยมากและแต่ละกรณีก็ใช้เวลาในการช่วยเหลือไม่ได้หมดในวันเดียว

ดังนั้น จึงมีข้อมูลคงค้างและต้องพักไว้ในที่ใดที่หนึ่ง ที่น่าจะเป็นฐานข้อมูลเปิด และเป็นที่เก็บข้อมูลเพื่อเป็นฐานข้อมูลไว้ในทุกๆ วัน นั่นแหละครับที่อยากให้ฟาวด์พอยต์เข้าไปรองรับตรงจุดนั้น

อย่างทุกวันนี้ผมเห็นมีการรับซื้อของโจรหรือพวกขโมยของไปขายมากมาย ตัวอย่างกรณีพวกกล้อง เลนส์ หรือโทรศัพท์มือถือ ที่ทุกวันนี้มีคนใช้เพิ่มมากขึ้น มีคนทำหายหรือโดนขโมยเพิ่มมากขึ้น พวกขโมยพอได้ของไป ก็เอาไปปล่อยในตลาดมืดหรือโลกออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันการซื้อขายของออนไลน์ทำได้สะดวกง่ายดายยิ่งกว่าอ้าปากงับกล้วย

แล้วพวกเราเองนี่แหละ ที่วันใดวันหนึ่งอาจจะอยากซื้อกล้อง ซื้อเลนส์ ซื้อโทรศัพท์มือสอง จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นของโจรหรือเปล่า นี่ก็จะเป็นอีกบทบาทหนึ่งที่ทางเว็บของเราจะเข้าไปช่วยกลั่นกรองตรงนี้ ถ้ามีประกาศของหายจากผู้ที่โดนขโมยของไป พร้อมหมายเลขประจำเครื่องที่ลงไว้ ก็จะเป็นประโยชน์ ก่อนจะตัดสินใจซื้อของมือสองหรือซื้อของต่อจากใคร ก็ให้เข้ามาตรวจสอบของนั้นซะก่อนที่ฟาวด์พอยต์ ดอต คอม ว่าของสิ่งนั้นไม่ได้เป็นของที่ถูกลงประกาศว่าเป็นของหายอยู่ จะได้มั่นใจว่าไม่ได้ไปซื้อของโจร อันจะทำให้เกิดเรื่องเดือดร้อนตามมาได้

ป้าหมายสุดฝันของผม ผมอยากให้ฟาวด์พอยต์เป็นเหมือนกูเกิ้ล แต่อาจจะเป็น "google : lost and found" (ศูนย์กลางค้นหาของหาย) อะไรทำนองนั้นครับ" ณัฐพงศ์ ระบุ



ต่อข้อถามสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องรายรับ-รายจ่ายของเว็บ ณัฐพงศ์บอกตรงๆ ว่า

"ตอนนี้ไม่มีรายได้ครับ มีแต่รายจ่าย รายจ่ายก็มีแบบพื้นฐาน เหมือนที่เว็บอื่นๆ เขามีกัน คือค่าโฮสติ้ง, ค่าเขียนโปรแกรม, ค่าออกแบบ ซึ่งผมโชคดีที่มีเพื่อนพี่น้องน่ารักมาช่วยกันทำ บ้างก็ทำให้ฟรี บ้างก็คิดในราคาไม่แพง บางส่วนผมทำเองได้ผมก็ทำเอง รวมๆ แล้วพอรับไหว"

สุดท้ายแล้ว ตัวเว็บไซต์จะทำหน้าที่ได้ดีสมตามเป้าหมายเพียงใด คงไม่เท่ากับเจตนาในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคมเดียวกัน ที่ฟาวด์พอยต์ได้แสดงให้เราได้เห็นถึงแง่มุมดีๆ บนโลกไซเบอร์อันแสนวุ่นวายเช่นทุกวันนี้

"อยากให้คนเข้ามาใช้กันเยอะๆ ไม่ต้องรอให้ของหายหรอกแล้วค่อยมานั่งนึกดีๆ ผมว่าสักครั้งหนึ่งในชีวิต คุณต้องเคยทำของหายบ้างแหละ ของอะไรก็ได้ ของที่หายไม่มีคำว่าของไร้สาระ ของรักของเรา เราก็อยากได้กลับคืนมาใช่ไหมครับ

นึกให้ดีๆ แล้วมาลงประกาศไว้ที่ฟาวด์พอยต์ บางทีอาจจะมีคนกำลังรอที่จะคืนของให้คุณ เหมือนที่ผมรอมาสิบปีแล้ว ที่จะคืนกล้องอันนั้นกลับไป และผมก็เชื่ออีกนั่นแหละว่า ถ้านึกให้ดี คุณอาจจะเคยเจอของที่ไม่รู้ว่าเจ้าของเป็นใคร และอยากจะคืนใจจะขาด แต่ในที่สุด ของสิ่งนั้นก็ถูกซุกไว้ในซอกหลืบที่ไหนสักที่ในบ้านของคุณ อย่างไม่มีคุณค่าอะไร

เชื่อผมเถอะ มีคนรอที่จะได้ของสิ่งนั้นกลับคืนอย่างใจจดใจจ่อ และรอมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

เมื่อคุณนึกได้ เราก็ยินดีต้อนรับสู่ฟาวด์พอยต์!" ณัฐพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย

หน้า 21

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVEF6TURnMU13PT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdPQzB3TXc9PQ==





--
http://www.classifiedthai.com/event_view.php

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

นที สรวารี ถูกจับ

นายนที สรวารี ผู้ร่วมรณรงค์กิจกรรมวันอาทิตย์
สีแดง ที่สี่แยกราชประสงค์ ถูกจับ เพราะตะโกนสวนกับตำรวจที่ใช้เครื่อง ขยายเสียง โดยนายนที ถูกกลุ่มผู้ชาย จับเวลา ขึ้นรถขนนักโทษของ ส.น.บางโพงพาง โดยนายนที ถูกตวบคุมจนเวลาเกือบ 23.00 น. จึงได้รับการปล่อยตัว เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่ามีความผิดฐานส่งเสียงดังในที่สาธารณะ ปรับ 100 บาท <--- ฮาว่ะคับ เข้ามารวบยังกะผู้ร้าย ฆ่าคนตาย เค้าไม่ได้ฆ่าคนตายเค้ามาพูดแทนคนตายต่างหาก บักปอบบบ
ข่าวจาก voicetv.co.th

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Old Man Dances to Lady Gaga!

ฮือฮา! คลิปยูทูป คุณปู่ซูซ่าเต้นกระจายลืมแก่ โชว์ลีลา"เลดี้ กาก้า"

สำนักข่าวต่างประเทศเผยแพร่คลิปวีดีโอจากยูทูปที่มีผู้เข้าชมแล้วกว่าแสน คลิ๊ก โดยเป็นคลิปชายวัยดึกผู้หนึ่งโชว์ลีลาเต้นผมหงอกกระจายแบบลืมวัยในเพลง "โพกเกอร์ เฟส" ของศิลปินสาวห้าว"เลดี้ กาก้า" ในผับแห่งหนึ่ง

"ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!"




“ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!”

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

        มื่อต้นเดือนนี้ ผมได้อ่านข่าว มติชนออนไลน์ (ที่ 04พฤษภาคม พ.ศ. 2553) นายมูฮัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ "เดอ สปีเกล" (Der Spiegel) ของเยอรมัน โจมตีประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่า เป็น
       
Mafia state 
        โดยท่านผู้นำคนดัง กล่าวหาประเทศสวิส ว่า  
        เป็นหน่วยงาน ‘ก่อการร้าย’ และเป็น ‘แก๊งค์มาเฟีย’ มีพฤติกรรมฟอกเงิน และมีกฎหมายหลอกลวงชาวโลก ซึ่งอนุญาตให้ผู้ป่วยสามารถรับการปลิดชีพจากแพทย์ได้ แต่แท้จริงต้องการเงินสดของคนเหล่านี้เข้าบัญชีธนาคารของประเทศ โดยสวิตเซอร์แลนด์ สมควรจะถูกฝรั่งเศส อิตาลี และเยอรมัน โดดเดี่ยวด้วย
        สำหรับคนบ้านเรานั้น ชอบใช้คำว่า “มาเฟีย” ไปในความหมายถึงพวก “แก๊ง” อันธพาลหรือนักเลงหัวไม้ ที่หาประโยชน์โดยมิชอบ และมีสันดานส่อไปในทางขอบ ‘รังแก’ หรือข่มเหงคนอื่น เพื่อปกปักรักษาผลประโยชน์ของตนตามอาชีพ เช่น “มาเฟียคิวรถ” , “มาเฟียวงการม้า-มวย” แม้กระทั่งคนพิการที่ขายสลากกินแบ่ง ที่ทางกองสลากแบ่งโควต้าให้ ก็ยังดันมี  
        “มาเฟีย...ล๊อตเตอรรี่”

        เมื่ออ่านคำสัมภาษณ์นี้แล้ว ทำให้ผมนึกไปถึงบทความเกี่ยวกับ “มาเฟีย” ที่เคยเขียนลงในเว็บไซด์ ‘ผู้จัดการ’ เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2550 ซึ่งในตอนนั้นแก๊ง “ไอ้บัง กบฏ” ยังเรืองอำนาจอยู่ โดยให้ชื่อตอนที่เขียนว่า 
       
“จ่าตำรวจ-มาเฟีย!” 
        วันนี้ จะขอนำบางส่วนของบทความดังกล่าว มาลงไว้เพื่อให้ท่านผู้อ่าน เข้าใจเรื่ององค์กรอาชญากรรมอมตะ ที่ผู้คนเรียกขานหรือรู้จักกันในชื่อ
“มาเฟีย”
        ผมเขียนเอาไว้ อย่างนี้ครับ

content/picdata/233/data/20Mafia.jpg

        ...ตัวผมสนใจและติดตามเรื่องของ ‘มาเฟีย’ มาตลอด เพราะเคยถูกส่งไปต่างประเทศ เพื่อร่ำเรียน เกี่ยวกับวิธีการสอบสวน เพื่อรับมือ และจัดการเกี่ยวกับการค้นหาเส้นทางเรื่องการเงิน ขององค์กรที่ลือชื่อนี้ด้วย      
        ผมได้สร้างหลักสูตร วิชาการสอบสวนคดีเศรษฐกิจ ขึ้นเป็นครั้งแรกให้กับกรมตำรวจ เขียนตำราการสอบสวนคดีวิชานี้ ขึ้นมาให้ใช้กัน ทั้งบัญญัติคำใช้เรียกคำว่า Money Laundering ว่าเป็นการ “ฟอกเงิน” ขึ้นมา โดยใช้ในการบรรยายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก เมื่อ 20 ปี ที่แล้ว และถ้อยคำๆนี้ปรากฏอย่างเป็นทางการในหนังสือพิมพ์ “มติชน” รายวัน ซึ่งเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังไปแล้ว       
        ดังนั้น ผมจึงรู้กลไกและวิธีการฟอกเงิน ซึ่งต่อมาก็ได้เดินทางไปบรรยายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในต่างประเทศ รวมทั้งในที่ประชุมใหญ่องค์กรตำรวจสากลด้วย เพราะเมืองไทยของเรานั้น เป็นแหล่งสำคัญที่อาชญากรต่างชาติ ได้ใช้เป็นแหล่งซุกซ่อนเงินที่ได้มาจากการกระทำผิด หรือนำมาแปรสภาพในรูปทรัพย์สินอย่างอื่น ถึงขั้นมีคำกล่าวกันว่า 
        “เมืองไทยเป็นสวรรค์ สำหรับอาชญากรต่างชาติ”

        คำว่า Mafia หรือภาษาไทยทับศัพท์เรียกว่า “มาเฟีย” หากใช้ในความหมายของชาวฟลอเรนซ์ อิตาลี นั้น แปลว่า “คนตัวเล็กผู้น่าสงสาร” แต่ในเมืองซิซิลีที่เป็นเกาะทางใต้ คำนี้ถ้าใช้ในภาษาของชาวซิซิเลียน ซึ่งเป็นเกาะต้นกำเนิดขบวนการ“มาเฟีย” มาจากคำว่า 
       
“mafiusu” 
        มีรากศัพท์มาจากภาษาอาราบิค “mahyas” คือการโม้ข่ม หรืออาจมาจากภาษาอาราบิคอีกคำหนึ่งคือ “marfud” แปลว่า “โดนปฏิเสธ” แต่ก็อาจแปลในอีกความหมายหนึ่งคือ คือ “เกียรติยศ-ความหาญกล้า” ซึ่งต่อมากลายเป็นชื่อเรียกองค์กรลับ ที่คนท้องถิ่นรวบรวมกันเป็นพันธมิตร เพื่อต่อต้านการรุกรานของทหารต่างชาติ ได้แก่ทัพพวกนอร์มันและชาวเติร์ก       
        เมื่อการรุกรานนั้นหมดไป องค์กรลับนี้หาได้สิ้นสุดตามลงไปด้วย แต่กลับมีวิวัฒนาการ กลายเป็นองค์กรอาชญากรรมนามกระเดื่องไปในที่สุด และเมื่อมีการหลั่งไหลของชาวอิตาเลียน เข้าไปในสหรัฐอเมริกา มาเฟียได้แพร่เชื้อติดเข้าไปด้วย พร้อมกับผู้อพยพชาวอิตาเลียนทั้งหลาย

        องค์กรมาเฟียได้มาตั้งหลักปักฐาน ที่มหานครนิวยอร์ก เพราะเมื่อชาวยุโรปเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติค มาขึ้นฝั่งที่นิวยอร์ก คนอิตาเลียนจำนวนมาก ได้ตั้งเลือกนิวยอร์กเป็นที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ มาเฟียได้เข้ามีส่วนเข้ามาจัดระบบชุมชน ด้วยการแทรกแซงเข้ามาในชีวิตของพวกเขา และเรียกค่าตอบแทนในการให้ความคุ้มครอง ให้ความปลอดภัย       
        มาเฟียก้าวถึงยุคแห่งความรุ่งเรืองสุดขีด เมื่อสหรัฐคลอดกฎหมายที่ชื่อ Volsted Act 1919 ห้ามการจำหน่ายสุรา ทำให้การค้าสุราเถื่อนเฟื่องฟู ทำเงินอย่างมหาศาล ครอบครัวมาเฟียหลายตระกูล กลายเป็นมหาเศรษฐี

        ต่อมาองค์กรนี้ ได้ดำเนินธุรกิจกว้างขวางออกไป นอกจากการเรียกค่าคุ้มครองแล้ว ยังได้เข้าควบคุมและหาประโยชน์ จากธุรกิจนอกกฎหมาย เช่นบ่อนการพนัน การค้าหญิงโสเภณี การค้าของเถื่อน และมีบางพวกที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด จนแผ่ขยายเข้าไปในเมืองใหญ่อีกหลายรัฐ จนครอบคลุมไปเกือบทั่วสหรัฐ       
        ทายาทของแต่ละตระกูล มีบางส่วน ไม่ยอมเข้ามายุ่งในกิจการของครอบครัว เพราะไม่ต้องการเป็นปฏิปักษ์กับผู้รักษา กฎหมาย เพราะเมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ชีวิตก็ไม่ปกติสุข และถอนตัวออกยาก อีกทั้งยังมีความขัดแย้งระหว่างตระกูล เกิดขึ้นเนืองๆ เพราะผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายหาจุดสมดุลไม่ได้ กลายเป็นความขัดแย้ง จนถึงเข้าฆ่าฟันกัน ถึงขั้นหนังสือพิมพ์เรียกว่า “สงคราม” หรือ “สงคราม-แก๊งมาเฟีย” กลายเป็นข่าวโด่งดัง จนมีการสร้างเป็นภาพยนตร์นับเรื่องไม่ถ้วน อย่างที่เราได้เห็นกันจนถึงยุค       
        การควบคุมองค์กรของมาเฟียนั้น มีตระกูลมาเฟียต่างๆแยกกันควบคุม แบ่งกันขยายอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่หรือธุรกิจที่ถนัด โดยมีผู้นำองค์กรซึ่งปิดลับ ยากที่จะฝ่ายบ้านเมืองจะเข้าถึงตัวได้       
        องค์กรมาเฟียนี้ จึงกลายเป็นหนามยอกอก ของฝ่ายผู้รักษากฎหมายสหรัฐมาเนิ่นนาน และยังคงจะดำรงอยู่ต่อไปอีก โดยหาจุดจบได้ยาก 

        ในการขับเคี่ยวระหว่างผู้รักษากฎหมาย กับองค์กรมาเฟียนั้น มีตำรวจนายหนึ่งมียศเป็น “จ่า” ชื่อว่า ราล์ฟ ฟรานซิส ซาเลอร์โน (Ralph Francis Salerno) ซึ่งได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติยศชั้นสูง จากกรมตำรวจนิวยอร์ก

content/picdata/233/data/99.jpg

        เมื่อจ่าเซอร์ลาโน ลาออกจากองค์กรผู้รักษากฎหมายนั้น ตำแหน่งสุดท้ายของเขา ก็อยู่แค่ Detective Sgt. หรือ“จ่าสายสืบ”  แต่ผู้คนกลับจำได้มากกว่าตำรวจคนอื่น และยกย่องเขาในฐานะผู้รักษากฎหมาย ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการปราบปรามแก๊งมาเฟีย       
        จ่าซาเลอร์โนใช้เวลาของชีวิต ยาวนานถึง 20 ปี ในฝ่ายสืบสวนสอบสวนและงานด้านการข่าว เพื่อการปราบปรามอาชญากรรม ในฝ่ายสอบสวนกลางของกรมตำรวจนิวยอร์ก       
        ความชำนาญในสายงานการปราบปราม ในด้านองค์กรอาชญากรรมของจ่าซาเลอร์โน ทำให้คุณจ่าคนดัง ต้องกลับมาเป็นพยานผู้เชียวชาญ ในคดีธุรกิจให้กู้แบบ ‘ดอกโหด’ หรือที่เรียกกันว่า loan-sharking ทั้งการเป็นพยานให้ข้อมูลในชั้นศาล ชั้นการสอบสวนของสมาชิกรัฐสภาสหรัฐ และวุฒิสภาอีกด้วย       
        หลังจากที่เกษียณอายุไปในครั้งแรก เมื่อปี 1967 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของกระทรวงยุติธรรมในวอชิงตัน ดี.ซี. และสำนักงานอาชญากรรมและเด็กมีปัญหาแห่งชาติ

        ปี 1970 นายกเทศมนตรี จอห์น วี ลินด์ซีย์ ผู้มีชื่อเสียงแห่งมหานครนิวยอร์ก ได้เลือกเซอร์ราโน่เป็นที่ปรึกษา ในด้านการพนันของรัฐ มีหน้าที่ทำลายล้าง การแทรกซึมเข้าเจาะธุรกิจการพนันของเหล่ามิจฉาชีพ และต่อมาเขาได้รับการแต่งตั้งจาก Nicholas Ferraro อัยการเขตควีนส์ ให้รับผิดชอบในการสอบสวน เกี่ยวกับคดีองค์กรอาชญากรรม       
        ซาเลอร์โนลาออกจากการรับใช้ทางการเมื่อปี 1975 แต่ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับภาคเอกชน       
        จ่าตำรวจผู้นี้ เป็นลูกชาวอิตาเลี่ยนผู้อพยพ และเกิดในแถบ Bronx ซึ่งอิทธิพลของมาเฟียแผ่ขยายแถบถิ่นกำเนิด และมีกฎสำคัญในละแวกบ้าน คือกฎแห่งความเงียบ คือชาวบ้านจะไม่ไปปริปาก หรือทำตัวเป็นเบาะแส คอยชี้เป้าให้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ไม่ได้เป็นอันขาด       
        เจ้าตัวเล่าให้ฟัง ว่า       
       
“เรื่องที่ผมจำได้ดีที่สุด เกิดขึ้นเมื่อตอนผมเป็นเด็ก นั่งกินข้าวอยู่ในบ้านกับครอบครัว พวกอันธพาลหลบหนีตำรวจมาทางด้านบันใดหนีไฟ ผ่านห้องที่เขากับครอบครัวอาศัยอยู่       
        พวกเหล่าร้ายผิวปาก ส่งสัญญาณให้เราเงียบ พวกเราจึงไม่มีใครเปิดปากบอกเจ้าหน้าที่ในเรื่องนี้       

       
พ่อผมเล่าให้ฟังว่า หลังจากเกิดเหตุแล้ว อีกไม่กี่วันพ่อไปตัดผมที่ร้านประจำ ช่างในร้านส่งถุงใส่ของให้ ซึ่งพอพ่อรับมาเปิดออก ก็พบมีดโกนใหม่ แปรงสำหรับชุบสบู่โกนหนวด และถ้วยใส่สบู่โกนหนวดกาไหล่ทอง และมีตราสำนักงานสาธารณสุข ที่พ่อเป็นพนักงานประจำอยู่       
        นี่แสดงว่าคนพวกนี้รู้ว่า คนแถวบ้านผมใครเป็นใคร ทำงานอะไร ไม่ได้ลอดสายตาพวกนี้ไปได้”

        ความทรงจำเหล่านี้เอง ที่กระตุ้นให้เขามาเป็นตำรวจ เมื่อ
ปี. 1964 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะปราบปรามอาชญากรรมอย่างเต็มที่ และกลายเป็นตำรวจที่มีชื่อเสียง แม้จะไม่ได้รับยศเป็นตำรวจสัญญาบัตรก็ตาม       
        การที่จ่าแกจับกุมพวกมาเฟียเชื้อสายอิตาเลี่ยน เช่นเดียวกับตัวเองหลายต่อหลายคน จึงมักจะได้รับคำถามเสมอว่า       
        “จ่าครับ ทำไมจ่าจึงชอบจับแต่คนอิตาเลี่ยน? คนเชื้อสายเดียวกันกับจ่าแท้ๆ ไม่น่าทำกันเลย!”       
        จ่าซาเลอร์โนเล่าว่า       
        “ผมตอบมันไปว่า เอ็งกับข้ามันคนละประเภทกัน กริยาท่าทางของข้า ศีลธรรม และอีกหลายอย่างที่เป็นคุณสมบัติของข้า...มันคนละอย่างกับพวกเอ็งเฟ้ย”       
        ตำรวจเชื้อสายมักกะโรนี ราล์ฟ ซาเลอร์โน พูดอย่างหนักแน่นต่อไปว่า       
        “....สิ่งเดียวที่ข้ามีเหมือนกับพวกเอ็ง คือเราเติบโตมาจากวัฒนธรรมเดียวกัน แต่เอ็งมันเป็นไอ้พวกที่ทรยศต่อประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์เรา ซึ่งข้าภาคภูมิใจยิ่งนัก เพราะข้าเป็นหนึ่งในสิ่งเหล่านั้น (ประวัติศาสตร์ชาติและวัฒนธรรม)...”       
        ฟังคุณจ่าแกพูดแล้ว ให้ผมเองฉุกคิดขึ้นมา ว่า

        บ้านเมืองของเรานั้น แม้ผู้คนจะเติบโตมาจากประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเดียวกัน มีความภาคภูมิใจ ในสิ่งที่หล่อหลอมความเป็นคนไทยมาเหมือนๆกัน และต่างก็มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จนดูเหมือนว่า บ้านเมืองเราไม่มีปัญหาเรื่องความแตกต่างนี้ เหมือนอย่างสังคมอื่นเขา (นอกจากปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้)       
       
แต่ไม่น่าเชื่อว่า       
        ทันทีที่พูดถึงเรื่อง ‘แนวความคิดทางการเมือง’ ของคนบ้านเราแล้ว ปัจจุบันกลับ ‘แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว’ จนยากที่จะผสมกลมกลืน เข้าเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน ยังผลจะทำให้การอยู่ร่วมกัน ต่อไปในประเทศนี้ในวันข้างหน้า       
        เพราะคงจะหาความเป็นปกติสุข ได้ยากเต็มที!

        เราลองมาคิดดูกันเล่นๆก็ได้ ถ้าหากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใช้วาจา แบบจ่าซาเลอร์โน คือพูดแบบทิ้งทวน ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ว่า       
        “แม้เอ็งกับข้า จะเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่ความเชื่อของข้ากับเอ็ง มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงว่ะ...ไอ้เวรเอ๋ย ! ” 
        หยุดสักนิด เพื่อเพิ่มความเข้มเสียงอีกสักหน่อย แล้วพูดต่อ       
        “พวกข้ารักและศรัทธา ในระบอบประชาธิปไตย แต่เอ็งกับพวก มันใฝ่ใจ‘เผด็จการ’!”       
        แค่นี้เท่านั้น ไอ้เรื่องการที่จะมาเรียกร้องให้ ‘สมานฉันท์’ กัน....บอกได้เลยว่า

        “ไม่มีทาง!!”

---
       
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
        ที่ท่านเพิ่งอ่านจบลงนั้น เป็นข้อเขียนของผม ในเว็บไซด์ ‘ผู้จัดการ’ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ เมื่อปี พ.ศ.2550 ไม่กี่สัปดาห์
เมื่อการเลือกตั้งจบลง ฝ่ายพ่ายแพ้การเลือกตั้ง และสร้างความผิดหวังให้กับพวกถือปืน เข้ายึดอำนาจประชาชน กลายเป็นพรรคดักดานซึ่งยอมอ่อนน้อม ค้อมกระบาลให้กับ...
       
พวกเผด็จการ นั่นเอง! 
        นับเป็นปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่อ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า พรรคเก่าแก่นั้น ได้รับการช่วยเหลือในการเลือกตั้งทุกรูปแบบ จากแก๊งที่ก่อกบฏ ยึดอำนาจจากประชาชน ซึ่งยังเรืองอำนาจอยู่ในเวลานั้นด้วยซ้ำ ชาวบ้านก็ยังคิดว่า คราวนี้พรรคของพวกนายกฯทักษิณ ที่ถูกบีบอย่างหนักนั้น คงจะต้องปราชัยย่อยยับแน่ๆ 
        แต่..
ผลมันกลับตรงข้าม!!
        เมื่อพ่ายแพ้จากการเลือกตั้งแล้ว คนเหล่านี้ก็ไม่หยุด ยังคงขัดขวางระบอบประชาธิปไตย ด้วยการไม่ยอมรับ และต่อต้านรัฐบาลเสียงข้างมาก ที่ประชาชนเขาเลือกมาทุกวิถีทาง ตามแผน “บันใดอัปรีย์” ของ “ไอ้บัง กบฏ” จนทำให้บ้านเมืองของเรา เคลื่อนไปข้างหน้า ด้วยความยากลำบาก 
        เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ได้สร้างความขัดแย้งให้กับผู้คนในบ้านเมือง และดำเนินต่อมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นอย่างที่เห็นกัน และทำให้ประชาชนคนไทย 
        ต้องบาดเจ็บล้มตาย เป็นจำนวนมาก!!!

        สถานการณ์ที่ปรากฏขึ้น ในบ้านเมืองเราขณะนี้นั้น รัฐบาลของนายมาร์ค ร้อยศพ ดูเหมือนได้เปรียบเหนือฝ่ายต่อต้าน พวกเขากำลังเปิดเกมรุก ไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มที่ 
        ถึงวันนี้ พลพรรคของฝ่ายคนเสื้อแดง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ถนัด เพราะยังมีกฎหมายที่กดกระบาลอยู่ คือ “พ.ร.ก.” แต่โทษที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ที่ยกมาขู่กันนั้น ก็กะริบกะร่อย เพราะเพียงแค่โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร 
       
ที่สำคัญก็คือ
        เมื่อตัวพระราชกำหนดถูกยกเลิก หรือไม่มีการต่ออายุเมื่อใด ผู้ต้องขังที่ถูกศาลลงโทษ ก็จะต้องได้รับการปล่อยตัว เพราะการสิ้นสุดหยุดลงของกฎหมาย ส่วนผู้ที่ยังจับกุมไม่ได้ หรือไม่ได้เข้ามอบตัว คดีก็เป็นอันหมดสิ้นกันไป 
        สำหรับคดีอุปโลกน์ เรื่อง ‘ก่อการร้าย’ ก็มีเงื่อนเวลาจำกัดเพราะสำนวนการสอบสวน จะต้องเสร็จภายใน 2 เดือนข้างหน้า ตามอำนาจการควบคุมผู้ต้องหาของศาล ที่จะสิ้นสุดลงตามกฎหมาย
        สำหรับ ‘คดีก่อการร้าย’ ที่อยู่ระหว่างการฝากขัง และอัยการจะต้องมีคำสั่งก่อนอำนาจการควบคุมสิ้นสุดลง ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่นานนัก 
        หากอัยการสั่งฟ้อง ก็จะต้องกินเวลาในการพิจารณากันอีกยาวนาน อย่างน้อยกว่าการพิจารณาจะสิ้นสุดลง ก็ต้องใช้เวลา
       
ไม่น้อยกว่า 10 ปี!
        (ราคาต่อรอง สำหรับผลคดีในตลาดตอนนี้ ก็อยู่ที่ 5 ต่อ 1 ว่า แกนนำถูก ‘ยกฟ้อง’ แหงๆ!)

        ผมเคยเขียนเปรียบเทียบ ความซับซ้อนของ ‘คดีก่อการร้าย’ กับคดีซื้อเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ รายนั้นผู้ต้องหาแค่คนเดียว แต่ก็สู้กันยันฎีกา กว่าศาลจะลงโทษนักการเมืองของพรรคเก่าแก่ ด้วยการ จำคุก 1 ปี และตัดสิทธิ 10 ปี ได้สำเร็จ ก็กินเวลานาน
       
ถึง 1 ทศวรรษ
        แม้แต่คดี ส.ป.ก.4-01 ซึ่งเป็นเรื่องอื้นฉาวของพรรคเก่าแก่ดักดานอีกเหมือนกัน กว่าจะเสร็จสิ้นการฟ้องเรียกที่ดินของรัฐคืนได้ ก็กินเวลายาวนาน 10 ปี เช่นกัน

        จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าคดีความการก่อการร้าย ซึ่งมีจำนวนผู้ต้องหาและพยานผู้เกี่ยวข้องมากมาย ได้รับการคาดหมายว่า
         จะต้องยืดยาวเป็นหนังชีวิต โดยมีภาคต่อและภาคตาม อีกหลายตอน ซึ่งจะต้องดำเนินการในชั้นศาล โดยลากกันไปอีกอย่างยาวนาน เพราะต้องว่ากันเต็มเหนี่ยว
        
ไปจบกันที่...ศาลฎีกาโน่นเลย! 
         ดังนั้น ยิ่งเวลาทอดออกไปเนิ่นนานเท่าใด โอกาสที่บาดแผลในใจของฝ่ายที่ถูกปราบปราม ก็จะยิ่งถูกขยายให้กว้างขึ้น และกว้างขึ้น จนกลายเป็นแผลเฟอะฟะ เรื้อรัง ของชาติไทยเราไป ในที่สุดความสามัคคีของคนในชาติ ก็จะหาไม่ได้ในแผ่นดินนี้
         แม้ปัจจุบันฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล จะเคลื่อนไหวกันไม่ถนัด แต่ก็มีพลวัตรที่น่าสนใจของส่วนอื่นในสังคมไทย และจะมีความแหลมคมต่อไป นั่นก็คือ
         มีความเคลื่อนไหว ในมหาวิทยาลัยต่างๆอย่างกว้างขวาง ซึ่งบรรดาอาจารย์นิสิตนักศึกษา เริ่มนำข้อมูลเรื่องรัฐบาลและทหาร ใช้อาวุธ เข้าปราบปรามประชาชนอย่างเหี้ยมโหด ออกมาตีแผ่กันแล้ว หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่าง ‘ไทยรัฐ’ เห็นปรากฏการณ์นี้ชัดเจน ถึงกับลงในคอลัมน์ ‘ทีมข่าวการเมือง’ หน้า 3 เมื่ออังคาร ที่ 22 มิ.ย. 2553 ว่า
         ...ที่เฮี้ยนจริงๆกลับกลายเป็นเสียงของนักวิชาการ ทั้งยี่ห้อมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ตั้งเวทีเสวนา วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของรัฐบาลและ ศอฉ.ในการดำเนินการ กับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงแบบถึงแก่นถึงกึ๋น...

         การเคลื่อนไหวในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเกินความคาดหมายแต่ประการใด เพราะ สิทธิมนุษยชน’ นั้น พลโลกเขาถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะตอนนี้ก็ได้ข่าวว่า
         องค์กรสิทธิมนุษยชน อย่างฮิวแมนไรท์วอช (ซึ่งเคยเปิดโปงเรื่อง “ศูนย์กระทืบสันติ” ที่ปักษ์ใต้จนต้องยุบศูนย์ไป) ก็มีการเข้ามาสอบสวนพยานในประเทศไทยแล้ว
         กรณีของประเทศไทยนั้น มีข้อพิจารณาได้ว่า

         พยานหลักฐานทั้งหลายทั้งปวง ที่ไม่ใช่มาจากหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะมาจากสื่อมวลชน ทั้งในและนอกประเทศ รวมทั้งประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ และบันทึกความเคลื่อนไหวด้วยเครื่องมือต่างๆ นั้น
        
ได้ชี้เป้าตรงไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ที่ออกปฏิบัติการในห้วงเวลานั้น ซึ่งรัฐบาลเอง ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า 
         ทหารไม่ได้ปฏิบัติการแบบหฤโหด ตามที่กล่าวหากัน หรือเป็นฝ่ายสังหารประชาชน!

         ในฐานะที่ตัวผู้เขียน มีความคุ้นเคยกับการสอบสวนคดีขนาดใหญ่ ขอเรียนกับท่านผู้อ่านที่เคารพว่า

         ในไม่ช้านี้ ข้อสงสัยที่ว่า ทหารเป็นผู้สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะกรณีฆ่าหมู่ 6 ศพ ที่วัดปทุมวนาราม จะยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น และจะเป็นภาระหนักของฝ่ายรัฐ ในการแก้ไขเหตุการณ์ต่อเนื่อง ทั้งในและต่างประเทศ
         ถ้าหลักฐานฝ่ายรัฐบาล ยังง่อนๆแง่นๆ แต่ตรงกันข้ามหลักฐานของฝ่ายองค์กรอิสระ และนักวิชากลับมีมากขึ้น อย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ 
         ในที่สุดประชาชนในบ้านนี้เมืองนี้ ก็จะพากันเชื่อว่า   
         “กองทัพไทย มีฆาตกร!”

         ถึงวันนั้น ไทยแลนด์แดนสยาม และรัฐบาลโลซกแห่งประเทศไทย ก็จะต้องตกมี “ขี้ปาก” ของชาวโลกมากยิ่งขึ้นทุกที...ทุกที!
         อีกไม่นานเกินรอ อาจมีผู้นำประเทศหรือบุคคลสำคัญในองค์กรต่างของโลก ออกมาซ้ำรอย นายมูฮัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย โดยประกาศก้อง กู่ร้องให้ดังไปทั่วโลกว่า

         “ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!”

............

         (คอลัมน์ประจำสัปดาห์ ตอน “ไทยแลนด์...รัฐมาเฟีย!!!” ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 26 มิถุนายน 2553)

http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=233






วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Politics Chit Chat: สส. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ /การอภิปรายร่าง พรบ.งบประมาณ ปี 2554

Politics Chit Chat: สส. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ /การอภิปรายร่าง พรบ.งบประมาณ ปี 2554


กราบเรียนท่านประธานที่เคาร
พ กระผมน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 5 พรรคเพื่อไทย

สำหรับร่างพรบ.งบประมาณรายจ
่ายประจำปีงบประมาณ 2554 นั้น ได้มีผู้อภิปรายถึงความไม่ชอบ มาพากล ความไม่โปร่งใส การขาดประสิทธิภาพในการวางแผนงบประมาณ ความซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่ถูกหมกเม็ดเอาไว้อย่างแนบเนียน ส่อไปในทางที่นำไปสู่การทุจริตคอรัปชั่นเหมือนปี 2553ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ปรากฎเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน มากมายหลายโครงการ จนพี่น้องจำนวนมากให้สมญานามรัฐบาลของท่านว่า กู้มาโกง เพราะท่านบริหารบ้านเมืองมาเพียงปีเศษเท่านั้น ฝ่ายค้านและพี่น้องประชาชนได้ร่วมกันตรวจสอบการใช้งบประมาณของท่าน พบว่ามีโครงการที่ทุจริตคอรัปชั่นไปแล้ว โครงการที่เชื่อว่ามีการทุจริต ตลอดจนโครงการที่พบว่ามีความไม่ชอบมาพากลหลายสิบโครงการ ผมคิดว่าท่านคงจำไม่ได้แน่ๆเพราะมีกี่สิบโครงการก็ตาม ท่านก็ตีกรรเชียงประดิษฐ์คำสวยงามออกมาตอบโต้ แต่ไม่เคยแก้ไข ผมเตือนความจำให้ท่านบางโครงการก็แล้วกัน...

เริ่มกันตั้งแต่ผู้บริหารยั
งย้ายเข้าห้องกันไม่เสร็จ ก็มีรายการปลากระป๋องเน่า ต่อมาอีกนิดท่านก็ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการที่ท่านน้อมนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นชื่อของโครงการและบังอาจปล่อยให้มีการทุจริต จนต้องระงับโครงการแต่ก็ปล่อยให้ มีการเบิกจ่ายไปเกือบ หกพันล้าน เสียหายไปเป็นพันล้าน ยังไม่พอ ท่านประกาศกฎเหล็กเก้าข้อให้คณะ รัฐมนตรีใช้เป็นแนวทางในการ ทำงาน แต่เอาเข้าจริงๆกฎเหล็กของท่าน ก็กลายเป็นแค่กฎเด็กเพราะสิ่งที่ท่านพูดเอาไว้ไม่สามารถ บังคับใช้กับคณะรัฐมนตรีของท่านได้เลย เพราะหลังจากมีการทุจริตในโครงการที่ผมกล่าวไปแล้ว ก็มีการทุจริตต่อเนื่องจนท่านได้รับฉายาที่ไม่ได้มาด้วยโชค ช่วยว่า กู้มาโกง จำไม่ได้ใช่ไหมครับ ผมไล่ให้ฟัง ปลากระป๋องเน่า โครงการเช็คช่วยชาติ โครงการชุมชนพอเพียง โครงการต้นกล้าอาชีพ การจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์กระ ทรวงสาธารณสุข การจัดหาครุภัณฑ์ทางการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไร้ ประสิทธิภาพและไม่ตรงกับความ ต้องการของกองทัพ เช่น เครื่องมือตรวจค้นวัตถุระเบิด เรือเหาะตรวจการณ์ของกองทัพบก รถเกราะล้อยาง และอีกมากมายที่ท่านแอบไปผูกพัน งบประมาณกันไปเรียบร้อยแล้ว ในระยะเวลา 10 ปี เป็นเงินถึง เก้าแสนล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมงบประจำของท่านนะครับ ลองคิดเล่นๆกันดู ก็เท่ากับท่านซื้ออาวุธทุกปี ปีละเก้าหมื่นล้าน

ขณะเดียวกันกับที่กระทรวงสา
ธารณสุขที่มีหน้าที่ดูแลสุขภาพของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศได้รับอนุมัติงบประมาณในปีนี้เพียงเจ็ดหมื่นล้านบาทเศษเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีโครงการที่มีความไม่ชอบมาพากลมากมายที่ฝ่ายค้านตรวจสอบพบ ที่ยังไม่ได้นำมากล่าวต่อสภาแห่ง นี้ ต้องขอบคุณผู้บริหารบางคนที่มี จิตสำนึกที่ดีมีความรับผิดชอบ ต่อการใช้งบประมาณอย่างตรง ไปตรงมาเมื่อรับทราบสิ่งผิด ปกติก็รีบระงับโครงการไว้เพื่อ แก้ไขให้โปร่งใส เช่น โครงการจัดหาคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาของ กทม. ที่ มรว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อทราบว่าการกำหนด TOR อาจจะมีปัญหาท่านก็ระงับไว้และ รีบตรวจสอบเมื่อห็นว่ามีข้อ บกพร่องก็แก้ไข อย่างนี้ต้องขอชมเชยว่าท่านเป็นผู้มีธรรมาภิบาล และเห็นการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ เป็นสิ่งที่ต้องกระทำอย่าง โปร่งใส เพราะเป็นเงินที่มาจากภาษีอากร ของพี่น้องประชาชน แต่ก็มีอีกหลายโครงการที่ถูกตรวจสอบแล้วพบข้อพิรุธมากมายแต่รัฐมนตรีเจ้าของกระทรวงก็ยังอย่างหนาห้าห่วง เดินหน้าโครงการโดยไม่เคยออกมา ชี้แจงให้พี่น้องประชาชนได้ รับทราบแต่อย่างใด เช่นการจัดหารถเข็นกระเป๋าที่สนามบินสุวรรณภูมิมีการจัดหารถเข็นกระเป๋าพร้อมการบริการ 7 ปีเป็นเงินสูงถึงเกือบ 600 ล้านบาท ฝ่ายค้านพยายามชี้ประเด็นพิรุ ธมากมายให้กับท่านรัฐมนตรีไม่ ว่าจะเป็นเรื่องของราคาที่ สูงเกินความเป็นจริงเกือบเท่า ตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกรอบเวลา ที่รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ท่านก็ไม่เคยออกมาชี้แจงให้ สังคมได้รับทราบ กลับเดินหน้าเซ็นสัญญาโครงการจนเราได้รถเข็นกระเป๋าใหม่ที่สุวรรณภูมิที่ถ้าคำนวณกันแบบชาวบ้าน รถเข็นกระเป๋าของท่านที่มีล้อ มีเบรค แต่ไม่มีเครื่องยนตร์เหมือนมอเตอร์ไซด์นะครับ ราคาที่ท่านได้มาพร้อมการบริการ เจ็ดปี ผมซื้อมอเตอร์ไซด์ได้ถึง 2 คัน นั่นก็คือรถเข็นของท่านคันละเกือบเจ็ดหมื่นบาท นี่แหละครับเป็นหนึ่งในหลายโครงการ ที่ผมยกตัวอย่างมาว่าท่าน ไม่เคยกำกับดูแลการใช้งบ ประมาณให้เป็นไปตามวัตถุประ สงค์และเป้าหมาย ท่านปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้น สิ่งที่ปรากฎขึ้นทุกครั้งที่มี การตรวจสอบ หรือมีการนำเสนอเรื่องราวการกระทำอันเชื่อว่าน่าจะมีการทุจริตเหล่านี้ ท่านกลับไม่ได้มีการดำเนินการแก้ไข หรือแม้กระทั่งแสดงออกถึงความจริง ใจในการแก้ปัญหา แต่กลับพยายามกลบเกลื่อน เบี่ยงเบนเรื่องราว หรือแสดงการตอบโต้มากกว่าที่จะ พิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แม้ว่าสิ่งที่ถูกเปิดเผยออกไป นั้น สังคมได้ตั้งข้อสงสัยและข้อสังเกต ว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่น เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และที่สำคัญก็คือ วันนี้ท่านได้นำตัวของคนที่กระทำความผิดเหล่านี้มาลงโทษตามอาญาแผ่นดินได้บ้างหรือยัง หรือท่านจะใช้วิธีฟอกขาว แบบที่ท่านคุ้นเคย คือตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบกันเอง รายงานผลกันเอง ลงโทษกันเอง หรือจะใช้วิธีลาออกสลับตำแหน่ง กัน เล่นเก้าอี้ดนตรีในคณะรัฐบาล ลาออกเพราะมีเรื่องอื้อฉาว พอเรื่องเงียบ ก็แต่งตั้งกันเข้ามาใหม่ ให้มีหน้าที่ในการบริหารจัดการ งบประมาณแผ่นดินเหมือนเดิม อย่างนี้พี่น้องประชาชนเขาจะไว้ วางใจให้แต่ละคนกลับมาทำหน้า ที่เสนอแผนการใช้เงินของพวก เขาได้อย่างไร ผมเองล่ะคนหนึ่งที่รับไม่ได้กับการให้คนที่มัวหมองมีมลทินกลับมาบริหารเงินงบประมาณ เพราะฉนั้นในยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ในข้อที่ หนึ่งคือ ยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมั่น ของประเทศ ที่ท่านต้องการบริหารงบประมาณที่ วงเงินสูงถึง 160,000 ล้านบาทเศษนั้น ผมจึงไม่มีความมั่นใจว่าท่านจะบริหารงบประมาณดังกล่าวได้อย่างโปร่งใส เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย และสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็ง ของเศรษฐกิจในระดับฐานราก ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามที่ท่านเสนอมา

ส่วนในเรื่องของยุทธศาสตร์ก
ารรักษา ความมั่นคงของประเทศที่ มีสมาชิกผู้ทรงเกียรติหลายคน อภิปรายไปแล้วนั้นหลายคนบอกว่างบประมาณที่ขอมาในวงเงินที่สูงขนาดนี้ยังน้อยไปเพราะประเทศของเราตกอยู่ในสถานะที่อยู่ในความเสี่ยงกับการเกิดการก่อการร้าย ผมขอกราบเรียนท่านประธานว่าท่าน ไม่ต้องเสียงบประมาณของรัฐ แม้แต่บาทเดียวที่ต้องทุ่มไปให้กับกระทรวงทางความมั่นคงในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการก่อการร้าย เพราะการก่อการร้ายมันเป็นเพียงการเชื่อมโยงหลักฐานภายใต้ สมมติฐานที่คนทั้งประเทศเขา คิดได้ว่ามันเกิดจากการสร้างหลักฐานเท็จ หรือไม่ก็บวกเข้ากับการจินตนาการสร้างเรื่องขึ้นมาเองหรือไม่ ผมเองไม่กล้าชี้ ใครๆที่อยู่ภายใต้กฎหมายก็ไม่ม ีใครกล้าชี้เพราะทั้งหมดจะจริงหรือเท็จมันต้องใช้เวลาในการพิสูจน์แต่คนบางคนในรัฐบาลนี้ชี้ประเด็น พูดจายืนยันออกมาได้ทันทีว่าคนนั้นเป็นคนทำคนนี้เป็นคนทำ ทั้งๆที่สำนักข่าวต่างประเทศเขาได้นำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมาว่ารัฐบาลใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้จริ งแท้แน่นอนครับ ถ้าท่านนายกรัฐมนตรีเพียงแต่ปฏิบัติตามคำพูดที่ท่านเคยแถลงไว้กับสภาแห่งนี้ ก็คือการแสดงความรับผิดชอบเหมือ นที่ท่านอภิปรายเรื่องจะหนึ่ง คนหรือจะแสนคนตั้งแต่ต้น เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ความสูญเสียที่เกิดขึ้น การบาดเจ็บล้มตายที่เกิดขึ้น รวมทั้งงบประมาณที่จะต้องใช้ ที่เป็นเงินที่ต้องไปยืมเขามาเป็นจำนวนเงินมหาศาลก็จะไม่เกิดขึ้น

นอกจากนี้การจัดงบประมาณมหาศาล ที่จะใช้ในการรักษาความมั่น คงภายในที่ต้องไปจัดหาอาวุธ มารักษาความสงบเพื่อรักษาความ มั่นคงของรัฐและความสงบเรียบ ร้อยภายในประเทศนั้น ท่านก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้เลย เพียงแต่นายกรัฐมนตรีปฏิบัติอย่างที่ตัวเองพูดกับพี่น้องประชาชนคือการปฏิบัติตามแผนปรองดองแห่งชาติ ผมย้ำนะครับว่าแผนปรองดองต้องหมาย ถึงปรองดองจริงๆ ไม่ใช่สักแต่พูดว่าปรองดอง ปรองดอง แต่แท้ที่จริงคือการยื่นคำขาด เสนอไป ห้าข้อต้องทำแบบนี้เท่านั้น ถ้าทำอย่างนี้เขาไม่เรียกว่าปรอง ดอง เพราะถ้าปรองดองจริงท่านต้องยอม รับหรือพิจารณาข้อเสนอของทุก ฝ่ายบ้าง นี่เสนอแผนยื่นคำขาดให้กลับกลุ่ม ผู้ชุมนุม ยื่นคำขาดให้เขาต้องตอบวันนั้น วันนี้ เขาตอบรับทุกข้อ ขอเพียงดำเนินการภายใต้กระบวนการยุติธรรมมาตรฐานเดียว ท่านกลับไม่ยอมเจรจาใดๆทั้งสิ้น ทั้งที่สมาชิกวุฒิสภาจำนวนมากก็ เข้าร่วมเพื่อทำให้การปรอง ดองเกิดขึ้นได้จริง แต่ท่านก็เร่งรัดให้กองทัพเข้าสลายการชุมนุมจนมีพี่น้องร่วมชาติบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการที่ท่านขอใช้งบประมาณภายใต้ยุทธศาสตร์การรักษาความมั่นคงของรัฐด้วยกรอบวงเงินที่สูงเกือบสองแสนล้านบาทนั้น ผมและพี่น้องประชาชนอีกจำนวนมากไม่สามารถยอมรับได้เพราะพวกเราไม่เชื่อว่าท่านจะนำเงินภาษีของเราไปสร้างความมั่นคงของรัฐตามที่ท่านเสนอมา แต่พวกกระผมเชื่อว่าท่านจะนำเงินของพวกกระผมไปใช้เพื่อความั่นคงของท่านเท่านั้น

ดังนั้นผมไม่สามารถรับร่างพรบ.งบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พุทธศักราช 2554 ฉบับนี้ได้อย่างแน่นอน ขอบคุณครับท่านประธาน

http://patnpolitics.blogspot.com/2010/05/2554.html

纪录片天安門 六四事件 Tiananmen Square protests Part.1of20 with English Subtitle

20 Years After Tiananmen, Tank-man Still Mystery /in Tiananmen Square on June 5, 1989

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

The Tank Man 3/8/in Tiananmen Square on June 5, 1989

The Tank Man 2/8 /in Tiananmen Square on June 5, 1989

The Tank Man 1/8/1989 Tiananmen Square Protests

Tiananmen Square Massacre 1989 Tiananmen Square Protests

แผนลับเหมา เจ๋อ ตุง

แผนลับเหมา เจ๋อ ตุง

Pic_87539

ขบวนเดินทางไกลภายใต้การนำของเหมา

มีใครบ้างเคยล่วงรู้ว่าครั้งหนึ่ง เหมา เจ๋อ ตุง เคยเสนอแผนร่วมเป็นพันธมิตร..จับมือกับสหรัฐอเมริกามาแล้ว!

หากทว่า...ถูกปฏิเสธ?!

มาดูกันว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นไปได้

เหมา เจ๋อ ตุง - ไดลี หัวหน้าสายลับของเจียงไคเช็ค.

หลังจากร่วมมือกันโค่นล้มบัลลังก์จักรพรรดิลงแล้ว ดร.ซุน ยัต-เซน (Dr.Sun Yat-sen) ก็ได้ก่อตั้งสาธารณรัฐจีนขึ้น โดยมีผู้ช่วยสองขุนพลสำคัญคือ เหมา เจ๋อ ตุง และ เจียงไคเช็ค (Chiang Kai-shek) แต่เมื่อ ดร.ซุนถึงแก่กรรมในปี 1925 บุคคลทั้งสองก็กลับกลายเป็นคู่อริถึงขั้นไม่มองหน้ากัน

ขุนพลเจียง เป็นผู้บัญชาการกองทัพแห่งชาติ และเขาก็พยายามชักนำจูงใจให้ชนผิวขาวผู้หวาดเกรงคอมมิวนิสต์เชื่อว่าเหมา นั้นเป็นตัวการหัวหน้าใหญ่แห่งคอมมิวนิสต์จีน

เหมาไปปักหลักตั้งมั่น อยู่จังหวัดฮูหนาน อันเป็นบ้านเกิด ทว่าต่อมาก็ถูกกองทัพของเจียงโจมตีแตกพ่ายยับเยิน เดือนตุลาคม 1934 เหมาก็นำคนของเขาจำนวน 86,000 คน ชายฉกรรจ์กับผู้หญิงอีก 30 คน หลบลี้หนีไป และนั่นเป็นการเริ่มต้นของ "ขบวนเดินเท้าไกล (The Long March)" อันลือลั่น

เหมา เจ๋อ ตุง, แพตทริค เฮิร์ลลีย์, เจียงไคเช็ค

การเดินเท้าไกลสิ้นสุดลงเมื่อเหมาได้บรรจบกับอีกขบวนหนึ่ง ซึ่งเดินมาจากตอนกลางของประเทศ เหมาประกาศว่าเขามาไกลถึง 20,000 ลี้ หรือเกือบ 10,000 กม. แต่จริงๆแล้วราว 6,000 กม. ซึ่งก็นับว่าไกลโขอยู่แล้ว เหลือผู้รอดทั้งสิ้น 8,000 คน รวมทั้งผู้หญิงที่ยังอยู่ครบทั้ง 30 คน

จากนั้นสงครามกลางเมือง ระหว่างนักรบไร้รูปแบบของเหมา กับกองทัพของเจียงก็เริ่มขึ้น และยืดเยื้อยาวนาน กระทั่งเมื่อทั้งสองฝ่ายอ่อนเปลี้ย ญี่ปุ่นเห็นเป็นโอกาสอันดี จึงยกทัพบุกรุกรานแมนจูเรียในปี 1931 และต่อเข้ามาในจีน ถึงตอนนี้เมื่อประเทศชาติมีศึกมาประจัน ทั้งสองฝ่ายก็ยุติสงครามกลางเมืองชั่วคราว และหันหน้าจับมือกันสู้รบกับญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี ความต้องการกำจัดเหมายังคงค้างคาอยู่ในใจของเจียงไคเช็คตลอดเวลา

และ ก่อนหน้าญี่ปุ่นบุก เจียงได้ส่ง จางซูเหลียง (Zhang Xueliang) นายพลหนุ่มยกทัพไปล้อมที่มั่นของเหมา ณ เมืองเยนาน ทว่า จางซูเหลียงกลับลอบผูกสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีศูนย์บัญชาการอยู่ที่เมืองซีอาน ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่า

การ ศึกใหญ่ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นเกิดขึ้นที่เซี่ยงไฮ้ในเดือนสิงหาคม 1937 เพียงสามเดือนต่อมา ทัพจีนคณะชาติก็สูญทหารไปถึง 300,000 คน จากนั้น ญี่ปุ่นก็ยึดได้ทั้งเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และแคนตั้น ในปลายปี 1937 นั่นเอง หากทว่ามีอยู่มุมหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ที่ไม่ถูกญี่ปุ่นแตะต้อง เพราะเป็นถิ่นที่สหรัฐฯและยุโรปมาลงทุนไว้ คล้ายกับเป็นอาณานิคม จากปี 1941-1973 มุมนี้ถูกเรียกว่าเป็น "เกาะเซี่ยงไฮ้" ปลอดญี่ปุ่น และกลายเป็นที่มั่วสุมของสายลับนานาชาติ แหล่งที่ประดุจศูนย์สายลับคือ พีซโฮเตล (Peace Hotel) ซึ่งยังคงตั้งอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้

พีซ โฮเตล ในปัจจุบัน

เหมา ได้ส่งนักรบชาวนาของเขาไปฝึกยุทธวิธีสายลับในค่ายที่โซเวียต จัดตั้งขึ้นที่เยนาน ส่วนเจียงก็มีหัวหน้าสายลับคนสำคัญ นามว่า ไดลี (Dai Li) ซึ่งมีลูกน้องถึง 300,000 คน ออกหาข้อมูลอยู่ทั่วประเทศจีน

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองระเบิดขึ้น และญี่ปุ่นหันความสนใจจากจีนไปสู่น่านน้ำแปซิฟิก สายลับของไดลีสืบได้ว่าญี่ปุ่นเตรียมบุกอ่าวเพิร์ล จึงแจ้งให้สหรัฐฯได้รู้ แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯไม่สนใจ จนฐานทัพเพิร์ลฮาเบอร์พินาศ นับแต่นั้นจีนก็ได้รับการยอมรับเป็นพันธมิตรหนึ่งของสหรัฐฯ รัฐบาลของเจียงไคเช็คได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯอย่างท่วมท้น ทั้งกำลังทหาร เงิน อาวุธ ตลอดจนอุปกรณ์ ต่างๆ

สิ่งที่สหรัฐฯต้องการ จากจีนคือ ข้อมูลข่าวสาร จึงได้ส่งนาวาตรี มิลตัน ไมลส์ (Milton Miles) เข้ามาประสานงานกับจีน    ทีมงานของไมลส์มีชื่อ ว่า "กลุ่มนาวาในจีน (Naval Group CHINA)" ได้ฝึกฝนทหารจีนให้สู้รบแบบกองโจรอย่างได้ผล ทั้งระเบิดสะพานและอุโมงค์ ตลอดจนลอบฆ่าทหารญี่ปุ่น

Naval Group China กลุ่มนาวาในจีน.

แต่ ไม่นานก็มีสายลับอีกหน่วยหนึ่งถูกส่งเข้ามาโดยคำสั่งของนายพล วิลเลียม โดโนแวน (William Donovan) ผู้ก่อตั้งหน่วยโอเอสเอส (OSS-Office of Strategic Serrices) ต้นกำเนิดของซีไอเอนั่นเอง ปฏิบัติการของหน่วยโอเอสเอสล้ำลึกเหนือชั้นกว่ากลุ่มนาวีจีน ด้วยการปล่อยข่าวลวง จัดทำเอกสารปลอมแปลง โฆษณาชวนเชื่อทำลายขวัญข้าศึก

อย่าง ไรก็ตาม หน่วยงานของโดโนแวนไปซ้ำซ้อนกับหน่วยงานของไมลส์ที่ผูกพันอยู่กับทัพจีนคณะ ชาติของเจียงไคเช็ค ดังนั้น โดโนแวนจึงมองไปยังทัพกองโจรคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อ ตุง ซึ่ง แม้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ไมลส์รู้ดีถึงการปฏิบัติการรบอันมีประสิทธิภาพ เขาจึงส่งสารไปถึงเหมาในเดือนธันวาคม 1943 แจ้งความจำนงต้องการหารือและเป็นพันธมิตร เหมาจึงแจ้งตอบกลับมาว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีน (The Chinese Communist Party) ยินดีอย่างยิ่งที่จะเป็นพันธมิตรกับอเมริกา โดยเหมาเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับการสนับสนุนด้านการทหารจากสหรัฐฯบ้าง ทีมงานของโดโนแวนจึงเตรียมขึ้นเหนือไปพบเหมาเพื่อเปลี่ยนขั้วพันธมิตรจีนเสียใหม่ โดโนแวนจึงจัดตั้ง "ขบวนการดิกซี่ (Dixie Mission)" เดินทางไปพบเหมาที่เยนาน ซึ่งเหมาก็ได้ต้อนรับอย่างเต็มที่

ทีมดิก ซี่แม้จะเป็นอเมริกันผิวขาว แต่ทุกคนพูดจีนได้ โดยเฉพาะ จอห์น เซอร์วิช (John Service) หัวหน้าทีมซึ่งพูดได้คล่องทั้งจีนกลางและจีนภาคอื่นๆ เมื่อได้พบปะกับเหมาแล้ว จอห์นก็ตัดสินใจได้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์ของเหมาสมควรที่อเมริกาจะยึดเป็น พันธมิตรยิ่งกว่าจีนคณะชาติของเจียงไคเช็ค ดังนั้น ในเดือนธันวาคม 1944 เมื่อเหมา เจ๋อ ตุง แจ้งความประสงค์ว่าเขากับโจวเอินไหลต้องการไปพบกับประธานาธิบดีรูสเวลท์ยัง สหรัฐฯ จอห์นจึงส่งโทรเลขบอกไปยังวอชิงตันทันที

Dixie Mission ขบวนการดิกซี่

หากทว่าแผนดังกล่าวถูกขัดขวาง มิใช่จากญี่ปุ่น หากเป็นกลุ่มของไมลส์กับไดลี ที่บัดนี้มองเห็นโอเอสเอสกับทีมดิกซี่ทำงานเกินหน้าเกินตาของพวกตน โครงการที่ทีมดิกซี่เสนอยังวอชิงตันจะถูกกลุ่ม "นาวีจีน" ยับยั้ง แถมยังส่งข่าวให้เจียงไคเช็คได้รับรู้อีกด้วย เรื่องต่างๆ จึงไปไม่ถึงมือรูสเวลท์

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสหรัฐอเมริกาส่งทูตคนใหม่ มาประจำในประเทศจีน คือ แพตทริค เฮิร์ลลีย์ (Patrick Hurlley) ซึ่งเป็นผู้ที่เกลียดกลัวลัทธิคอมมิวนิสม์อย่างเข้ากระดูกดำ การสร้างสัมพันธภาพระหว่างเหมา เจ๋อ ตุง กับรูสเวลท์จึงปิดฉากสนิทไปโดยปริยาย

จวบจนรัฐบาลจีนคณะชาติล่มสลาย เจียงไคเช็คหนีออกจากแผ่นดินใหญ่ในปี 1949 ไปตั้งมั่นใหม่กับผู้ภักดีจำนวนน้อยยังเกาะไต้หวัน และเหมา เจ๋อ ตุง ประกาศกำเนิดของ "สาธารณรัฐประชาชนจีน" ในวันที่ 1 ตุลาคม 1949 แล้วกลายเป็นศัตรูสำคัญของ ชาติตะวันตกกับสหรัฐอเมริกาเนิ่นนานหลายสิบปี

ลองคิดดูว่า ถ้าหากแผนผูกมิตรกับอเมริกาของเหมา เจ๋อ ตุง ประสบความสำเร็จ โฉมหน้าของ โลกจะพลิกผันไปเพียงใด

สนใจ รายละเอียดของเรื่องนี้ สามารถติดตามชมได้ทางโทรทัศน์ทรูวิชั่น ช่อง (18) เรื่อง "Mao’s Secrets" ตามกำหนดวันและเวลาที่มีอยู่ในวารสาร Premiere ประจำ เดือนมิถุนายนนี้ครับผม.

ทีมงาน ต่วย'ตูน
http://www.thairath.co.th/column/life/sundayspecial/87539
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm
http://www.isriya.com/node/2809
/wordcamp-bangkok-2009-pool-party
C:\Documents and Settings\user\My Documents\ไฟล์ที่ได้รับของฉัน\issarachon1101.wma
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=hiansoon

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Facebook | Museum Siam: มาริโอ ตามาญโญ คือใคร มาจากไหน

Facebook | Museum Siam: มาริโอ ตามาญโญ คือใคร มาจากไหน
มาริโอ ตามาญโญ คือใคร มาจากไหน
มาริโอ ตามาญโญ (Mario Tamagno) เป็นสถาปนิกชาวอิตาลี เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พุทธศักราช 2420 ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี เสียชีวิตเมื่อพุทธศักราช 2484 ที่ประเทศอิตาลี

ตามาญโญเข้ารับราชการในกระทรวงโยธาธิการแห่งประเทศสยามเมื่อปีพุทธศักราช 2443 โดยมีสัญญาว่าจ้างเป็นเวลา 25 ปี และมีผลงานการออกแบบในประเทศไทย ที่สำคัญหลายแห่ง เช่น สะพานมัฆวานรังสรรค์ พระที่นั่งอนันตสมาคม วังปารุสกวัน ท้องพระโรง วังสวนกุหลาบ สถานีรถไฟกรุงเทพ บ้านพิษณุโลก (ชื่อเดิมคือบ้านบรรทมสินธุ์) พระตำหนักเมขลารูจี ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล (ชื่อเดิมตึกไกรสร) ห้องสมุดเนลสันเฮส์ รวมทั้งอาคารกระทรวงพาณิชย์ (เดิม) หรือมิวเซียมสยามในปัจจุบัน
ภาพถ่ายของมาริโอ ตามาญโญ

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Facebook | JasMin Jaja: มิตรแท้ หรือที่ใคร ๆ เรียกว่า เพื่อนตาย

Facebook | JasMin Jaja: มิตรแท้ หรือที่ใคร ๆ เรียกว่า เพื่อนตาย
มิตรแท้ หรือที่ใคร ๆ เรียกว่า เพื่อนตาย
ในสังคมปัจจุบัน คำว่าเพื่อนตาย เริ่มที่จะหายากหรือมีจำนวนลดน้อยลง แต่สิ่งหนึ่งที่อาสาสมัครอิสรชนลงพื้นที่และพบเห็นมันยังคงมีอยู่ในกลุ่มคนยากไร้ที่สังคมมองข้าม อยากจะยกตัวอย่างกรณีหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นในหลาย ๆ ครั้ง เพราะ ทุกเดือนต้องมีคนสนามหลวงตายอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยเฉลี่ยที่ผ่านมา เพราะเขาเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงรัฐสวัสดิการในเรื่องสุขภาพ อยู่ไปวัน ๆ แต่ก็ห่วงในสุขภาพของตนเองเท่าที่กำลังทำได้ เช่นเวลาที่เจ็บป่วยมาก็หาซื้อยาตามร้านขายยากินถ้าวันนั้นมีรายได้ เพราะฉะนั้นการลงพื้นที่ของอิสรชน เล็งเห็นว่าเรื่องยาเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับในพื้นที่เป็นอย่างมาก
อิสรชน ดูแลเพื่อนที่สนามหลวง (คนเร่ร่อน ไร้บ้าน หรือ ผู้ใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ) ตั้งแต่เกิดจนตาย สิ่งที่สะท้อนใจมากสุด คือคนสนามหลวง บางส่วนตายแล้วไม่ได้ตาย คือ ไม่มีเอกสารยืนยัน รู้แต่ชื่อที่เรียกกัน ไม่สามารถแจ้งตายได้ สุดท้ายกลายเป็นนายที่ไม่ทราบชื่อ ไม่ระบุสัญชาติไปฝังที่ชลบุรี หรือบางคนที่มีหลักฐานก็สามารถตามญาติได้ บางทีญาติก็ไม่เอาแถมยังถามกลับมาว่า คนที่ตายทำงานได้เก็บเงินไว้ที่ไหนบ้างหรือเปล่า (ฟังแล้วก็สะท้อนใจ) หรือบางคนอย่างดีหน่อยก็มาเอาศพไปทำหรือเอากระดูกไปฝัง (ในกรณีที่ญาติตามหากันอยู่)
ในที่นี้จะยกกรณีที่ญาติไม่เอาศพ คนสนามหลวงรวบรวมเงินบางส่วน ร่วมกับอิสรชนเพื่อไปนำศพคนตาย (นามสมมติ นาย ก) ออกจากโรงพยาบาล ซึ่งตั้งแต่เช้าในวันที่ไปเอาศพ อิสรชนกับเพื่อนผู้ตาย(คนไร้บ้านที่นอนด้วยกัน ในกลุ่มเดียวกันกับผู้ตาย) มานั่งรอแต่เช้าเพื่อนำศพออกไปทำพิธี โดยมีญาติผู้ตายมาด้วย 2 คน เพื่อยืนยันเอกสาร เพราะก่อนหน้านี้ที่นาย ก เสียชีวิตในวันแรก อิสรชนทราบข่าวจากพื้นที่ก็ทำหนังสือประสานงานไปหาญาติตามที่อยู่ที่นาย ก ให้ไว้ก่อนตาย เมื่อญาติมาดำเนินเรื่อง แต่ไม่เอาศพ ให้เอาออกจากโรงพยาบาลและเผาเลย แต่ไม่มีเงินทำศพให้หรอกนะ มาดำเนินเรื่องให้เท่านั้น และคำถามที่ตามมา คือผู้ตายมีเงินเก็บหรือไม่ เมื่อช่วงบ่ายทำเรื่องเอาศพออกได้ คนสนามหลวงอีกคนที่ชื่อ ลุงแดง (ซึ่งตอนนี้ก็เสียชีวิตไปแล้วเช่น กัน) ที่รอฟังข่าวที่สนามหลวง ก็เป็นคนไปประสานงานที่วัด เพื่อทำพิธีสวดและเผาเลย โดยค่าเผาศพและค่าใช้จ่าย ในการเคลื่อนย้ายศพออกจากโรงพยาบาล ทั้งหมดนั้นอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท ซึ่งอิสรชนก็นำเงินบริจาคจากผู้ที่สนับสนุนงานของอิสรชนมาโดยตลอดมารวมกับคนสนามหลวงที่มาเรี่ยไรกันในพื้นที่ คนละเล็กละน้อย มารวมกันเพื่อส่งเพื่อนในวาระสุดท้ายให้ถึงสวรรค์ ภาพที่เห็นคือ คนสนามหลวงกลุ่มหนึ่ง ทั้งนั่งรถเข็น เดินไม่ค่อยได้ ค่อย ๆ เดินเข้าวัดมากันเพื่อรอทำพิธีการส่งเพื่อนในครั้งสุดท้าย และเมื่อเผาเสร็จญาติผู้ตายก็กลับ โดยให้คนสนามหลวงจัดการเรื่องกระดูกเอง ญาติไม่เอากระดูกกลับบ้าน ในเช้าวันต่อมาคนสนามหลวงสามสี่คน รวบรวมเงินกันคนละนิดหน่อย ไปเอากระดูกเพื่อนไปลอยที่แม่น้ำเจ้าพระยา และหลังจากนั้น เดือนกว่า ๆ ญาติผู้ตายตามมาเอาเงินที่่ผู้ตายได้ฝากไว้ตอนทำงานให้หน่วยงานภาครัฐ เป็นสิ่งที่น่ารันทดใจที่ว่า สุดท้ายเพื่อนตาย ก็เป็นพวกเขาเองที่สังคม มองไม่เห็นค่าของเขา แต่เขาก็ต้องอยู่ได้ด้วยคนในหัวอกเดียวกัน ไม่ทอดทิ้งกัน ส่งกันจนวินาทีสุดท้าย ช่วยเหลือกันจนเหลือแต่ขี้เถ้า นี่และมิตรแท้ของคนสนามหลวง ที่สังคมพยายามยัดเหยียดให้เขาเป็นสิ่งสกปรก แต่เราว่าน้ำใจเขาสะอาดมากทีเดียว เพียงแค่คุณมองเขาเท่ากับคุณ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเราที่เข้ามาเรียนรู้สังคมอีกมุมที่เรามองข้าม ติดต่อได้ที่ 086-687-0902 หรือสามารถโอนเงินเข้าบัญชีของสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชนได้ที่ ธนาคารกรุงไทย สาขา เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เลขที่บัญชี 031-0-03432-9

http://www.facebook.com/profile.php?ref=profile&id=1371691203#!/notes/jasmin-jaja/mitrthae-hrx-thi-khir-reiyk-a-phexn-tay/488977295577

มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙



หน้า ๗เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙
ประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคมพ.ศ. ๒๕๔๙อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕๑ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและ เสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ประกอบกับมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๙ มาตรา ๔๐ มาตรา ๔๑ มาตรา ๔๕ มาตรา ๕๐และมาตรา ๕๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคมพ.ศ. ๒๕๔๔ อันเป็นพระราชบัญญัติที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและ เสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๙ มาตรา ๔๘ และมาตรา ๕๐ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายคณะกรรมการกิจการโทร คมนาคมแห่งชาติ จึงกำหนดมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคมไว้ดังต่อไปนี้ข้อ ๑ ประกาศนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปข้อ ๒ บรรดาประกาศ ข้อบังคับ และคำสั่งอื่นใด ในส่วนที่มีกำหนดไว้แล้วในประกาศนี้หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับประกาศนี้ ให้ใช้ประกาศนี้แทนข้อ ๓ ในประกาศนี้“บริการโทรคมนาคม” หมายความว่า บริการโทรคมนาคมที่ผู้รับใบอนุญาตให้แก่ผู้ใช้บริการตามกฎหมายว่าด้วยการ ประกอบกิจการโทรคมนาคมและตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด“ผู้ให้ บริการ” หมายความว่า ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม และให้หมายความรวมถึงผู้ได้รับอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยหรือองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือหน่วยงานรัฐอื่นใด ก่อนวันที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ใช้บังคับหน้า ๘เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙“ผู้ใช้บริการ” หมายความว่า ผู้ใช้บริการโทรคมนาคมปลายทางของผู้ให้บริการแต่ไม่รวมถึงผู้ใช้บริการที่ เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมซึ่งนำบริการโทรคมนาคมที่ได้รับใน ฐานะผู้ใช้บริการไปประกอบกิจการอีกทอดหนึ่ง“สัญญา” หมายความว่า สัญญาให้บริการโทรคมนาคมระหว่างผู้ให้บริการกับผู้ใช้บริการไม่ว่าจะทำในรูป แบบใด“แบบสัญญา” หมายความว่า แบบของสัญญาให้บริการโทรคมนาคมที่ผู้ให้บริการจัดทำขึ้นโดยมีการกำหนดข้อ กำหนดหรือเงื่อนไขเกี่ยวกับสิทธิ และหน้าที่ของผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการไว้ล่วงหน้า เพื่อประโยชน์ในการจัดทำสัญญา“ค่าบริการ” หมายความว่า ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ หรือค่าใช้จ่ายอื่นใดที่ผู้รับใบอนุญาตเรียกเก็บจากผู้ให้บริการอันเนื่องมา จากการที่ผู้ใช้บริการได้ใช้ประโยชน์หรือจะใช้ประโยชน์ในบริการโทรคมนาคมที่ ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการโทรคมนาคม“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติข้อ ๔ สัญญาจะมีผลผูกพันและใช้บังคับได้ ต้องเป็นไปตามแบบสัญญาที่คณะกรรมการได้ให้ความเห็นชอบแล้วหรือที่คณะกรรมการ ประกาศกำหนดแบบของสัญญาไว้เป็นการเฉพาะ เว้นแต่คณะกรรมการจะประกาศกำหนดให้สัญญาลักษณะหรือประเภทใด ได้รับยกเว้นไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแบบสัญญาที่คณะกรรมการจะ ให้ความเห็นชอบต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร มีรูปแบบและสาระสำคัญไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการโทรคมนาคม และเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประกาศนี้ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นว่ารูปแบบหรือ สาระสำคัญของแบบสัญญาไม่เป็นไปตามที่กำหนดในวรรคสอง คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ดำเนินการแก้ไขภายในระยะเวลาที่กำหนดข้อ ๕ ก่อนนำแบบสัญญาไปใช้ในการประกอบกิจการ ผู้ให้บริการต้องจัดส่งแบบสัญญาให้คณะกรรมการพิจารณาล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหก สิบวัน ในกรณีที่คณะกรรมการต้องการข้อมูลหรือรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อประกอบการ พิจารณา ผู้ให้บริการจะต้องส่งข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมตามที่คณะกรรมการกำหนด แบบสัญญาใดที่คณะกรรมการได้ให้ความเห็นชอบแล้ว หากต่อมาผู้ให้บริการประสงค์จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกำหนด หรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้บริการ อันอาจมีผลกระทบต่อสิทธิหน้า ๙เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙หน้าที่ หรือประโยชน์อันพึงได้รับของผู้ใช้บริการ ผู้ให้บริการต้องเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาให้ความเห็นชอบล่วงหน้าไม่น้อย กว่าสามสิบวัน เว้นแต่เป็นข้อกำหนดหรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้บริการที่คณะกรรมการประกาศ ยกเว้นให้ดำเนินการได้โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการในกรณีดัง กล่าวให้ผู้ให้บริการแจ้งให้คณะกรรมการทราบอย่างช้าไม่เกินสามสิบวันหลังจาก ที่ได้ดำเนินการแล้วการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของระบบ เทคโนโลยี หรืออุปกรณ์ใด ๆ อันส่งผลกระทบทำให้ประสิทธิภาพในการให้บริการต่ำลง หรือกระทบต่อสิทธิ หน้าที่ หรือประโยชน์อันพึงได้รับของผู้ใช้บริการตามสัญญา ให้ถือว่ามีผลเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดหรือเงื่อนไขในการให้บริการ และต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อนโดยให้ดำเนินการเช่นเดียวกับกรณี ตามวรรคหนึ่งหมวด ๑สัญญาให้บริการโทรคมนาคมข้อ ๖ ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องแจ้งรายละเอียดของการให้บริการโทรคมนาคมในแต่ละ บริการอย่างชัดเจน และครบถ้วน ผ่านสื่อที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงและเข้าใจได้ง่ายเพื่อให้ผู้บริโภคทราบ และใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการเข้าทำสัญญาและเลือกใช้บริการได้ อย่างถูกต้อง โดยอย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญในเรื่องดังต่อไปนี้(๑) ชื่อ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ สำนักงานสาขาของผู้ให้บริการ(๒) ลักษณะและประเภทบริการ(๓) มาตรฐานและคุณภาพในการให้บริการ(๔) อัตราค่าบริการและวิธีการเรียกเก็บค่าบริการ ยกเว้น กรณีการให้บริการใช้เครือข่ายร่วมระหว่างประเทศ (International Roaming) ซึ่งผู้ให้บริการมิได้เป็นผู้กำหนดอัตราค่าบริการโดยตรง(๕) ข้อจำกัดตลอดจนเงื่อนไขในการให้บริการ(๖) เหตุแห่งการปฏิเสธการให้บริการในกรณีที่คณะกรรมการเห็นว่าการแจ้งรายละเอียด ของผู้ให้บริการไม่เป็นไปตามวรรคหนึ่งและมีคำสั่งให้แก้ไขหรือเพิ่มเติม ผู้ให้บริการต้องดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องและครบถ้วนภายในระยะเวลาที่คณะ กรรมการกำหนดหน้า ๑๐เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙ข้อ ๗ แบบสัญญาต้องเป็นข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ชัดเจน โดยใช้ข้อความเป็นภาษาไทยที่เข้าใจง่ายและสามารถเห็นและอ่านได้ชัดเจน มีขนาดของตัวอักษรไม่เล็กกว่าสองมิลลิเมตรแบบสัญญาและการแก้ไขเปลี่ยนแปลง แบบสัญญาหรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้บริการที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะ กรรมการแล้ว ผู้ให้บริการต้องจัดให้มีการเผยแพร่แบบสัญญาและเงื่อนไขดังกล่าวให้ประชาชน ได้ทราบผ่านสื่อที่ผู้ใช้บริการเข้าถึงและเข้าใจได้ง่ายเป็นการทั่วไปโดย เร็วข้อ ๘ สัญญาย่อมเกิดขึ้นเมื่อคู่สัญญาได้แสดงเจตนาเสนอและสนองถูกต้องตรงกัน โดยชัดแจ้งว่าผู้ให้บริการตกลงให้บริการโทรคมนาคม และผู้ใช้บริการตกลงใช้บริการโทรคมนาคมของผู้ให้บริการในกรณีที่ผู้ใช้ บริการมิได้ปฏิเสธข้อเสนอเกี่ยวกับบริการใดของผู้ให้บริการจะถือว่าผู้ใช้ บริการได้แสดงเจตนาตกลงใช้บริการนั้นของผู้ให้บริการมิได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ใช้บริการได้ใช้บริการนั้นอยู่แล้ว และประสงค์จะใช้บริการนั้นต่อไปในการพิจารณาคำขอใช้บริการ ผู้ให้บริการจะกระทำการอันมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติแบ่งแยก หรือกีดกันผู้ขอใช้บริการรายหนึ่งรายใดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรมิได้ และการปฏิเสธมิให้ผู้ใช้บริการรายหนึ่งรายใดเข้าทำสัญญาใช้บริการโทรคมนาคม จะต้องเป็นเหตุตามที่ได้แจ้งรายละเอียดเหตุแห่งการปฏิเสธให้ผู้ใช้บริการ ทราบตามข้อ ๖ (๖) แล้วเท่านั้นข้อ ๙ เมื่อได้ทำสัญญาแล้ว ผู้ให้บริการต้องจัดทำสำเนาสัญญานั้นเป็นหนังสือและส่งมอบให้แก่ผู้ใช้ บริการ หรือออกหลักฐานอย่างอื่นที่ผู้ใช้บริการสามารถใช้เป็นหลักฐานได้เช่นเดียว กับหนังสือในกรณีที่ผู้ใช้บริการมีคำขอเช่นนั้นความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้ บังคับแก่การให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศหรือบริการโทรคมนาคมที่เรียก เก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการเป็นการล่วงหน้าซึ่งไม่มีการทำสัญญาเป็นลาย ลักษณ์อักษร ทั้งนี้ ผู้ให้บริการจะต้องแสดงอัตราค่าบริการให้ผู้ใช้บริการทราบล่วงหน้าเป็นการ ทั่วไปอย่างชัดแจ้ง คณะกรรมการอาจกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการให้บริการดังกล่าวเพื่อ ประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภคด้วยก็ได้ข้อ ๑๐ สัญญาอย่างน้อยจะต้องมีสาระสำคัญเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ระหว่างผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการดังต่อไปนี้(๑) มีข้อกำหนดเกี่ยวกับลักษณะและประเภทของบริการ(๒) มีข้อกำหนดเกี่ยวกับมาตรฐานการให้บริการของผู้ให้บริการหน้า ๑๑เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙(๓) มีข้อกำหนดเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ ที่ชัดเจนและเป็นธรรม(๔) มีข้อกำหนดเกี่ยวกับอัตราค่าธรรมเนียม และค่าบริการอย่างครบถ้วน เป็นธรรมและจะต้องมีข้อกำหนดรับรองการไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ทั้งนี้ สัญญาดังกล่าวจะต้องไม่มีข้อกำหนดที่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติ แบ่งแยกกีดกัน หรือไม่เป็นธรรมแก่ผู้ใช้บริการข้อ ๑๑ การให้บริการโทรคมนาคมในลักษณะที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการเป็น การล่วงหน้าจะต้องไม่มีข้อกำหนดอันมีลักษณะเป็นการบังคับให้ผู้ใช้บริการ ต้องใช้บริการภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่ ผู้ให้บริการจะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเป็นการล่วงหน้าทั้งนี้ คณะกรรมการอาจกำหนดเงื่อนไขการให้บริการประกอบด้วยก็ได้ เช่น การถ่ายโอนมูลค่าที่เหลืออยู่การคืนเงินค่าบริการในส่วนที่ไม่ได้ใช้บริการ การกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการใช้บริการ การขึ้นทะเบียนชื่อที่อยู่ของผู้ใช้บริการ เป็นต้น ในการนี้คณะกรรมการอาจจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะหรือรับฟังความ คิดเห็นจากผู้บริโภคด้วยก็ได้ผู้ให้บริการตามวรรคหนึ่งต้องเผยแพร่แบบสัญญา ที่คณะกรรมการเห็นชอบแล้วเป็นการทั่วไป และแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบเป็นหนังสือก่อนเริ่มใช้บริการข้อ ๑๒ ในการทำสัญญา ผู้ให้บริการจะขอให้ผู้ใช้บริการให้ข้อมูลส่วนบุคคลเกินกว่าความจำเป็นเพื่อ การปฏิบัติตามสัญญามิได้ เว้นแต่ผู้ใช้บริการได้ให้ความยินยอมโดยชัดแจ้งและผู้ให้บริการได้แจ้งวัตถุ ประสงค์ของการขอข้อมูลดังกล่าวให้แก่ผู้ใช้บริการทราบล่วงหน้าแล้วผู้ให้ บริการจะนำข้อมูลที่ได้มาจากการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการนั้นไปใช้เพื่อ ประโยชน์อย่างอื่นโดยมิได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งจากผู้ใช้บริการมิได้ เว้นแต่เป็นการใช้เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายหมวด ๒สิทธิและหน้าที่ของผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการข้อ ๑๓ ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องให้บริการโทรคมนาคมตามมาตรฐานและคุณภาพการให้ บริการตามที่ได้โฆษณาหรือแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบ โดยมาตรฐานและคุณภาพ การให้บริการดังกล่าวต้องไม่ต่ำกว่าหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนดหน้า ๑๒เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙ในกรณีที่มีข้อโต้แย้งว่าการให้บริการโทรคมนาคมไม่เป็นไปตามมาตรฐานและ คุณภาพการให้บริการตามที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง ผู้ให้บริการมีภาระในการพิสูจน์ข้อโต้แย้งดังกล่าวและต้องดำเนินการอย่าง หนึ่งอย่างใดเพื่อเป็นการแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ใช้ บริการอย่างเป็นธรรมข้อ ๑๔ ในกรณีที่เกิดเหตุขัดข้องขึ้นกับการให้บริการโทรคมนาคมของผู้ให้บริการจน เป็นเหตุให้ผู้ใช้บริการไม่สามารถใช้บริการได้ตามปกติ ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องดำเนินการแก้ไขเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้ บริการโทรคมนาคมได้โดยเร็วและผู้ให้บริการไม่มีสิทธิเรียกเก็บค่าบริการใน ช่วงเวลาที่เกิดเหตุขัดข้องดังกล่าวได้ เว้นแต่ผู้ให้บริการพิสูจน์ได้ว่าเหตุขัดข้องดังกล่าวเกิดขึ้นจากความผิดของ ผู้ใช้บริการข้อ ๑๕ ในกรณีที่ผู้ให้บริการได้ส่งมอบเครื่องอุปกรณ์หรือสิ่งอื่นที่เกี่ยวข้องให้ แก่ผู้ใช้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายหรือคิดค่าใช้จ่ายในราคาที่ต่ำกว่าราคา ตลาดของค่าอุปกรณ์ ในขณะที่ส่งมอบเพื่อประโยชน์ในการใช้บริการโทรคมนาคมนั้น ผู้ให้บริการจะถือเอาเหตุดังกล่าวมากำหนดเป็นเงื่อนไขอันก่อให้เกิดภาระแก่ ผู้ใช้บริการหรือเรียกเก็บค่าปรับหรือค่าเสียหายจากการที่ผู้ใช้บริการยก เลิกสัญญาก่อนกำหนดมิได้ผู้ใช้บริการที่ได้รับมอบเครื่องอุปกรณ์หรือสิ่ง อื่นที่เกี่ยวข้องตามวรรคหนึ่งมีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ เครื่องอุปกรณ์ดังกล่าว และต้องส่งคืนให้แก่ผู้ให้บริการเมื่อสัญญาสิ้นสุดลง หากผู้ใช้บริการก่อให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องอุปกรณ์นั้น ผู้ให้บริการมีสิทธิเรียกให้ผู้ใช้บริการรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามความเสีย หายที่เกิดขึ้นจริงแก่เครื่องอุปกรณ์ดังกล่าวได้ ทั้งนี้จะต้องไม่เกินกว่าราคาตลาดของค่าอุปกรณ์ดังกล่าวในขณะนั้นในกรณีที่ ผู้ให้บริการประสงค์จะคิดค่าใช้จ่ายจากการส่งมอบเครื่องอุปกรณ์หรือสิ่งอื่น ที่เกี่ยวข้องตามวรรคหนึ่งจากผู้ใช้บริการ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะต้องไม่เกินอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนดหมวด ๓สิทธิและหน้าที่ในการเรียกเก็บและการชำระค่าบริการข้อ ๑๖ ผู้ให้บริการต้องเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการไม่เกินอัตราขั้นสูงที่ คณะกรรมการประกาศกำหนด และต้องเป็นอัตราตามที่ได้มีการตกลงไว้ในสัญญาโดยต้องเรียกเก็บหน้า ๑๓เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙จากผู้ใช้บริการของตนในอัตราเดียวกันสำหรับบริการโทรคมนาคมที่มีลักษณะ หรือประเภทเดียวกันและไม่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติ แบ่งแยก หรือกีดกันผู้ใช้บริการรายหนึ่งรายใดข้อ ๑๗ ผู้ให้บริการต้องจัดส่งใบแจ้งรายการการใช้บริการโทรคมนาคมของผู้ใช้บริการ เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการให้ผู้ใช้บริการทราบล่วงหน้าเป็น ระยะเวลาไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันครบกำหนดชำระ โดยใบแจ้งรายการดังกล่าวจะต้องแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราค่าธรรมเนียม อัตราค่าใช้บริการ และการคำนวณค่าธรรมเนียมและค่าบริการในลักษณะที่ชัดเจนเพียงพอเพื่อให้ผู้ ใช้บริการสามารถเข้าใจถึงที่มาของค่าใช้จ่ายที่ปรากฏอยู่ในใบแจ้งรายการนั้น ได้ใบแจ้งรายการใช้บริการโทรคมนาคมของผู้ใช้บริการตามวรรคหนึ่ง จะต้องกำหนดถึงวิธีการต่าง ๆ ในการรับชำระเงินของผู้ให้บริการไว้โดยชัดแจ้ง เพื่อประโยชน์ในการชำระเงินของผู้ใช้บริการความในข้อนี้มิให้ใช้บังคับกับ กรณี ดังต่อไปนี้
(๑) กรณีการให้บริการในลักษณะที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการเป็นการล่วง หน้าซึ่งไม่สามารถส่งใบแจ้งเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ ทั้งนี้ ผู้ให้บริการจะต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราค่าธรรมเนียม ค่าใช้บริการ และวิธีการคำนวณค่าธรรมเนียมและค่าบริการที่ชัดเจน รวมถึงค่าบริการที่เรียกเก็บเป็นการล่วงหน้าที่เหลืออยู่ ให้ผู้ใช้บริการทราบเป็นลายลักษณ์อักษร
(๒) กรณีที่ผู้ใช้บริการได้ทำความตกลงกับผู้ให้บริการเพื่อยกเว้นการแสดงราย ละเอียดในใบแจ้งรายการใช้บริการดังกล่าวข้อ ๑๘ ผู้ให้บริการต้องกำหนดวิธีการในการส่งใบแจ้งรายการการใช้บริการโทรคมนาคม เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการให้ชัดแจ้ง และต้องแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบเป็นหนังสือไปยังสถานที่ติดต่อของผู้ใช้ บริการที่ได้แจ้งไว้ หรือโดยวิธีการอื่นหากผู้ใช้บริการได้ยินยอมหรือประสงค์ให้แจ้งโดยวิธีการ อื่นนั้นข้อ ๑๙ ผู้ให้บริการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าบริการ หรือค่าใช้จ่ายอื่นนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในสัญญามิได้ข้อ ๒๐ ผู้ให้บริการจะกำหนดให้ผู้ใช้บริการต้องวางเงินประกันหรือต้องชำระเงินอื่น ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับเงินประกันเพื่อใช้บริการโทรคมนาคมของผู้ให้บริการ มิได้หน้า ๑๔เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙ข้อ ๒๑ ผู้ให้บริการจะกำหนดให้ผู้ใช้บริการต้องชำระดอกเบี้ย เบี้ยปรับ หรือเงินอื่นใดในลักษณะดังกล่าว ในกรณีที่ผู้ใช้บริการผิดนัดชำระค่าบริการให้เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด หรือที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบมิได้ข้อ ๒๒ ในกรณีที่ผู้ใช้บริการเห็นว่าผู้ให้บริการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่า บริการสูงกว่าอัตราขั้นสูงที่คณะกรรมการกำหนดตามข้อ ๑๖ หรือสูงกว่าที่เรียกเก็บจากผู้ใช้บริการรายอื่นที่ใช้บริการโทรคมนาคมใน ลักษณะหรือประเภทเดียวกัน หรือเห็นว่าผู้ให้บริการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการโดยไม่ถูกต้อง ผู้ใช้บริการมีสิทธิขอข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการของตนจากผู้ให้บริการได้ ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงเพื่อยืนยันความถูกต้องของการ เรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการดังกล่าว และต้องแจ้งข้อมูลตามวรรคหนึ่งให้ผู้ใช้บริการทราบโดยเร็วแต่ทั้งนี้ต้องไม่ เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ผู้ใช้บริการมีคำขอตามวรรคหนึ่ง หากผู้ให้บริการไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าผู้ให้บริการนั้นสิ้นสิทธิในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่า บริการในจำนวนที่ผู้ใช้บริการได้โต้แย้งนั้นข้อ ๒๓ ในกรณีที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ให้บริการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการเกินกว่าจำนวนที่เกิดขึ้น จากการใช้บริการจริง ผู้ให้บริการจะต้องคืนเงินส่วนต่างของค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการที่เรียก เก็บเกินให้แก่ผู้ใช้บริการภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ข้อเท็จจริงยุติ และผู้ให้บริการต้องชำระดอกเบี้ยในส่วนต่างในอัตราเท่ากับที่ได้กำหนดไว้ว่า จะเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการในกรณีที่ผู้ใช้บริการผิดนัด เว้นแต่ผู้ใช้บริการจะได้ตกลงเลือกให้ดำเนินการในการคืนเงินส่วนต่างที่ เรียกเก็บเกินเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ การคืนเงินส่วนต่างให้แก่ผู้ใช้บริการอาจคืนด้วยเงินสด เช็ค หรือนำเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ใช้บริการ หรือตามวิธีการที่ผู้ใช้บริการได้แจ้งความประสงค์ไว้ข้อ ๒๔ เมื่อผู้ใช้บริการได้ชำระค่าธรรมเนียมและค่าบริการให้แก่ผู้ให้บริการตามที่ เรียกเก็บแล้วผู้ให้บริการจะต้องออกหลักฐานเป็นหนังสือแก่ผู้ใช้บริการเพื่อ แสดงว่าตนได้รับชำระค่าบริการจากผู้ใช้บริการแล้วความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้ บังคับแก่บริการโทรคมนาคมในลักษณะที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ เป็นการล่วงหน้าซึ่งไม่มีการออกใบรายการการใช้บริการหน้า ๑๕เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙หมวด ๔การระงับการใช้บริการและการให้บริการโทรคมนาคมข้อ ๒๕ ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น ผู้ใช้บริการอาจใช้สิทธิระงับการใช้บริการโทรคมนาคมของผู้ให้บริการเป็นการ ชั่วคราวก็ได้ โดยแจ้งเป็นหนังสือหรือด้วยวิธีการอื่นใดที่ผู้ให้บริการจัดขึ้นเพื่อรับ แจ้งให้ผู้ให้บริการทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามวันและถือเป็น หน้าที่ของผู้ให้บริการที่ต้องจัดให้มีระบบรับแจ้งดังกล่าวอย่างเพียงพอตลอด เวลา ในการนี้ ผู้ให้บริการจะกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำหรือขั้นสูงที่ยินยอมให้ผู้ใช้บริการ ระงับการใช้บริการโทรคมนาคมชั่วคราวไว้ในแบบสัญญาด้วยก็ได้ในการขอระงับการ ใช้บริการโทรคมนาคมดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง ผู้ให้บริการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ จากผู้ใช้บริการไม่ได้ เว้นแต่ กรณีที่ผู้ใช้บริการระงับบริการเกินกว่าระยะเวลาขั้นสูงที่ผู้ให้บริการ กำหนดตามวรรคหนึ่งแล้ว ผู้ให้บริการมีสิทธิยกเลิกการให้บริการได้โดยแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบล่วง หน้าเป็นหนังสือไม่น้อยกว่าสามสิบวันข้อ ๒๖ เมื่อผู้ใช้บริการได้แจ้งขอระงับการใช้บริการโทรคมนาคมต่อผู้ให้บริการตาม หลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศฉบับนี้แล้ว ผู้ใช้บริการย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในค่าบริการที่เกิดขึ้นภายหลังการแจ้ง ขอระงับการใช้บริการชั่วคราวมีผล เว้นแต่ผู้ให้บริการจะพิสูจน์ได้ว่าค่าบริการที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการกระทำ ของผู้ใช้บริการข้อ ๒๗ เมื่อครบกำหนดการขอระงับการใช้บริการโทรคมนาคมชั่วคราวแล้ว ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องเปิดให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าใช้บริการดังกล่าว ได้ทันที โดยผู้ให้บริการจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ จากผู้ใช้บริการไม่ได้ข้อ ๒๘ ในกรณีที่มีเหตุจำ เป็น ผู้ให้บริการมีสิทธิระงับการให้บริการโทรคมนาคมเป็นการชั่วคราวต่อผู้ใช้ บริการก็ได้ โดยแจ้งเป็นหนังสือพร้อมทั้งระบุเหตุในการใช้สิทธิดังกล่าวให้ แก่ผู้ใช้บริการทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้ผู้ให้บริการสามารถระงับการให้บริการได้ทันที(๑) เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นแก่ผู้ให้บริการ(๒) ผู้ใช้บริการถึงแก่ความตาย หรือสิ้นสุดสภาพนิติบุคคล(๓) ผู้ใช้บริการใช้เอกสารปลอมในการขอใช้บริการหน้า ๑๖เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙(๔) ผู้ให้บริการพิสูจน์ได้ว่าบริการโทรคมนาคมที่ให้แก่ผู้ใช้บริการถูกนำไปใช้ โดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือฝ่าฝืนต่อสัญญา(๕) ผู้ใช้บริการซึ่งใช้บริการโทรคมนาคมในลักษณะที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือ ค่าบริการภายหลังได้ใช้บริการเกินวงเงินค่าบริการที่ได้ตกลงไว้ในสัญญา ในกรณีนี้ผู้ให้บริการจะต้องแจ้งเตือนให้ผู้ใช้บริการทราบล่วงหน้าเมื่อเห็น ว่าผู้ใช้บริการได้ใช้บริการใกล้เต็มวงเงินตามที่ได้ตกลงไว้ในสัญญา ทั้งนี้ การกำหนดวงเงินที่เหลืออยู่ซึ่งผู้ให้บริการจะต้องแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบ ล่วงหน้านั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน(๖) ผู้ใช้บริการผิดนัดชำระค่าธรรมเนียมและค่าบริการเกินกว่าระยะเวลาที่กำหนดใน สัญญาสองคราวติดต่อกัน(๗) ผู้ให้บริการพิสูจน์ได้ว่าผู้ใช้บริการได้นำบริการโทรคมนาคมไปใช้เพื่อแสวง หารายได้โดยมีเจตนาจะไม่ชำระค่าธรรมเนียมและค่าบริการ(๘) ผู้ให้บริการมีเหตุที่จำเป็นต้องบำรุงรักษาหรือแก้ไขระบบโทรคมนาคมที่ใช้ใน การให้บริการทั้งนี้ เหตุในการระงับการให้บริการโทรคมนาคมดังกล่าวจะต้องไม่มีข้อกำหนดที่เป็นการ จำกัดการใช้ประโยชน์ของผู้ใช้บริการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรข้อ ๒๙ ในกรณีการให้บริการโทรคมนาคมเป็นประเภทที่มีอุปกรณ์ที่ระบุตัวผู้ใช้บริการ ในการคิดค่าบริการ เมื่อผู้ใช้บริการได้แจ้งเหตุที่อุปกรณ์ระบุตัวผู้ใช้บริการสูญหายให้ผู้ให้ บริการทราบผู้ให้บริการต้องดำเนินการระงับการให้บริการในทันทีที่ได้รับแจ้ง และผู้ใช้บริการไม่ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมและค่าบริการที่เกิดขึ้นภาย หลังการแจ้งดังกล่าว เว้นแต่ผู้ให้บริการจะพิสูจน์ได้ว่าความรับผิดในหนี้นั้นเกิดขึ้นจากการ กระทำของผู้ใช้บริการเองหมวด ๕การเลิกสัญญาการให้บริการโทรคมนาคมข้อ ๓๐ ผู้ใช้บริการจะโอนสิทธิการใช้บริการตามสัญญาให้แก่บุคคลอื่นมิได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการถ้าผู้ใช้บริการกระทำการฝ่าฝืน ความในข้อนี้ ผู้ให้บริการจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้หน้า ๑๗เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙ข้อ ๓๑ การโอนสิทธิการให้บริการตามสัญญาไปยังผู้ให้บริการรายอื่นจะกระทำมิได้ เว้นแต่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ และผู้รับโอนจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญาที่มีผลอยู่ก่อนการโอนข้อ ๓๒ ผู้ใช้บริการมีสิทธิเลิกสัญญาในเวลาใดก็ได้ด้วยการบอกกล่าวเป็นหนังสือให้ แก่ผู้ให้บริการทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าห้าวันทำการ ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการจะต้องชำระค่าบริการครบถ้วนแล้วจนถึงวันที่การยกเลิกสัญญามีผล บังคับในกรณีที่มีเหตุดังต่อไปนี้ ผู้ใช้บริการอาจใช้สิทธิเลิกสัญญาได้ทันที(๑) ผู้ใช้บริการไม่สามารถรับบริการจากผู้ให้บริการได้ด้วยเหตุที่เกิดขึ้นอย่าง ต่อเนื่องและอยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้ใช้บริการ(๒) ผู้ให้บริการได้ละเมิดข้อตกลงอันเป็นสาระสำคัญของสัญญา(๓) ผู้ให้บริการตกเป็นบุคคลล้มละลาย(๔) ผู้ให้บริการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาหรือเงื่อนไขในการให้บริการซึ่งมีผล เป็นการลดสิทธิหรือประโยชน์อันพึงได้รับของผู้ใช้บริการลง เว้นแต่เกิดจากเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติข้อ ๓๓ ห้ามมิให้ผู้ให้บริการยกเลิกการให้บริการโทรคมนาคมตามสัญญา เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้(๑) ผู้ใช้บริการถึงแก่ความตาย หรือสิ้นสุดสภาพนิติบุคคล(๒) ผู้ใช้บริการผิดนัดชำระค่าธรรมเนียมและค่าบริการเกินกว่าระยะเวลาที่กำหนดใน สัญญาสองคราวติดต่อกัน โดยผู้ให้บริการได้แจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบถึงวันครบกำหนดที่แน่นอนเป็นการ ล่วงหน้าในใบแจ้งเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการและได้ทำการเตือนตามวิธี การที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาแล้ว(๓) ผู้ให้บริการมีเหตุผลอันเชื่อได้ว่าผู้ใช้บริการมีพฤติกรรมฉ้อฉลในการใช้ บริการหรือนำบริการไปใช้โดยผิดกฎหมาย หรือฝ่าฝืนข้อห้ามในสัญญา(๔) ผู้ให้บริการไม่สามารถให้บริการได้โดยเหตุที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้ ให้บริการ(๕) เป็นการยกเลิกโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายข้อ ๓๔ เมื่อสัญญาเลิกกัน ในกรณีที่ผู้ให้บริการมีเงินค้างชำระแก่ผู้ใช้บริการ ผู้ให้บริการต้องคืนเงินนั้นให้แก่ผู้ใช้บริการหน้า ๑๘เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙ในการคืนเงินดังกล่าว เมื่อผู้ให้บริการได้ตรวจสอบหลักฐานแล้วว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับผู้ใช้บริการ หรือเป็นผู้รับมอบอำนาจจากผู้ใช้บริการอย่างถูกต้องแล้ว ให้ผู้ให้บริการคืนเงินภายในสามสิบวันนับแต่วันเลิกสัญญาทั้งนี้ การคืนเงินค้างชำระแก่ผู้ใช้บริการ อาจคืนด้วยเงินสด เช็ค หรือนำเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ใช้บริการ หรือตามวิธีการที่ผู้ใช้บริการได้แจ้งความประสงค์ไว้กรณีผู้ให้บริการไม่ สามารถคืนเงินค้างชำระให้แก่ผู้ใช้บริการได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดผู้ให้ บริการต้องชำระค่าเสียประโยชน์ในอัตราเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ให้บริการ คิดจากผู้ใช้บริการกรณีผู้ใช้บริการผิดนัดไม่ชำระค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการ แก่ผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิผู้ใช้บริการที่จะเรียกค่าเสียหายอย่างอื่นหมวด ๖การร้องเรียนและการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนข้อ ๓๕ ผู้ให้บริการต้องจัดทำและแจ้งให้ผู้ใช้บริการได้ทราบถึงหลักเกณฑ์การรับ เรื่องร้องเรียนและการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนระหว่างผู้ใช้บริการและผู้ให้ บริการ ซึ่งต้องมีความชัดเจนในเรื่องขั้นตอนการดำเนินการ ระยะเวลาดำเนินการ และผลของการดำเนินการ ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การรับเรื่องร้องเรียนและ การแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนหรือการระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับบริการโทรคมนาคม ระหว่างผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนดบทเฉพาะกาล ข้อ ๓๖ สัญญาระหว่างผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่ประกาศ ฉบับนี้มีผลใช้บังคับ ให้ผู้ให้บริการดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมแบบสัญญาให้เป็นไปตามประกาศฉบับนี้ และส่งให้คณะกรรมการภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับ เพื่อให้คณะกรรมการให้ความเห็นชอบเมื่อคณะกรรมการให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ผู้ให้บริการแจ้งการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้ใช้บริการ ภายในสามสิบวัน เพื่อให้ผู้ใช้บริการพิจารณาว่าจะผูกพันตามสัญญาต่อไปหรือยกเลิกสัญญาดัง กล่าวหน้า ๑๙เล่ม ๑๒๓ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๒๕ กันยายน ๒๕๔๙เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาสามสิบวันตามวรรคสองแล้ว หากผู้ใช้บริการมิได้แสดงเจตนายกเลิกสัญญาเป็นหนังสือ ให้ถือว่าผู้ใช้บริการประสงค์จะผูกพันตามสัญญาดังกล่าวต่อไปให้สัญญาใหม่มี ผลใช้บังคับเมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามวรรคสาม ทั้งนี้ ในระหว่างระยะเวลาพิจารณาตามวรรคสองและวรรคสาม ให้สัญญาเก่ายังคงมีผลใช้บังคับอยู่ต่อไป
ประกาศ ณ วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙
พลเอก ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2549/E/099/7.PDF