นายวิเชียร พวงลำเจียก อุปนายกสมาคมชาวนาไทย กล่าววันที่ 2 มกราคมว่าการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน หรืออาฟต้า ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมานั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีในการส่งเสริมการค้าทั่วไป แต่จะส่งผลกระทบต่อสินค้าเกษตรแน่นอน ซึ่งหลายฝ่ายเป็นห่วงเช่นกัน ในข้อเท็จจริงรัฐควรสร้างความชัดเจนและมีแนวทางป้องกันตั้งแต่ต้น เช่น ขอความร่วมมือผู้ผลิตข้าวถุงในประเทศว่าควรใช้ข้าวของไทย ซึ่งหากผู้ผลิตหันไปสั่งข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาบรรจุแทน ชาวนาไทยก็อาจเสียประโยชน์ได้
นายวิเชียรกล่าวว่า ช่วงนี้ปัญหาดังกล่าวอาจไม่มีผลกระทบในทันที เพราะภาวะของข้าวสารในตลาดโลกยังถือว่าขาดตลาด ยังมีความต้องการซื้ออีกมาก อีกทั้งผลผลิตโดยรวมของทั้งโลกก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามความต้องการ ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ประเทศผู้ผลิตก็ขายข้าวกันเองไม่ต้องผ่านประเทศที่สามหรือพ่อค้าคนกลาง อื่น แต่หากเมื่อใดที่ตลาดข้าวซบเซาหรือความต้องการในตลาดโลกลดน้อยลง ข้าวจากประเทศที่มีชื่อด้านคุณภาพ เช่น จะมีข้าวจากประเทศอื่นมาปลอมปนข้าวไทย โดยพ่อค้าข้าวไทยเองจะสั่งข้าวจากต่างประเทศมาย้อมเป็นข้าวไทย
นายทศพล วังศิลาบัตร ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนมีทั้งด้านดีและด้านเสียต่อชาวนา อย่างไรก็ตามประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นคู่แข่งของไทยจะได้ประโยชน์มากกว่า โดยเฉพาะเวียดนาม เพราะข้าวของเวียดนามคุณภาพใกล้เคียงกับไทย แต่มีราคาถูกกว่า อีกทั้งปัจจุบันไทยนิยมปลูกข้าวอายุสั้นหรือข้าวไวแสงที่ให้ผลผลิตเร็วแต่ คุณภาพไม่ค่อยดีนัก เพราะหากเก็บไว้นานจะเสื่อมเร็ว ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน รัฐบาลต้องส่งเสริมการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวไทยที่ปลูกในทุกภูมิภาค เช่นที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในการส่งเสริมปลูกข้าวหอมมะลิในภาคตะวันออกเฉียง เหนือ มากกว่าการปลูกข้าวสายพันธุ์ทั่วๆ ไป
"สิ่งที่รัฐบาลต้องทำด่วนที่สุด คือ การปรับปรุงพันธุ์ข้าว ปรับปรุงระบบชลประทาน ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต พร้อมพัฒนาอาชีพการเกษตรอย่างต่อเนื่อง การทำนาปลูกข้าวเป็นอาชีพหลักของคนไทย แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่ารัฐบาลไม่ค่อยใส่ใจมากนัก จึงทำให้ภาคการเกษตรของไทยถูกนายทุนหรือพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบ"
นายชัยยง กฤตผลชัย รองเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน หรืออาฟต้า สินค้าที่มีการนำร่องลดภาษีนำเข้าและส่งออกให้เป็น 0% คือ กลุ่มสินค้าเกษตร แต่สินค้า 4 กลุ่มที่กระทรวงอุตสาหกรรมมีหน้าที่ดูแลเรื่องการผลิต การตรวจและรับรองมาตรฐานนั้น จะมีการบังคับใช้หรือจะมีอัตราภาษีอยู่ที่ระดับ 0% ในปี 2555 ประกอบด้วยกลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร สิ่งทอ และยานยนต์ โดยอยู่ระหว่างการปรับลดภาษีเพื่อนำร่องเป็นบางกลุ่มเท่านั้น เช่น กลุ่มยานยนต์
นายชัยยงกล่าวว่า สำหรับกลุ่มแรกที่จะเริ่มลดภาษีเหลือ 0% คือ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีการนำร่องด้วยรูปแบบการเจรจา และตรวจสอบมาตรฐานสินค้าซึ่งกันและกันในกลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว แต่จะมีบางประเทศเช่น กัมพูชา พม่า และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่คงต้องผ่อนปรนเรื่องมาตรฐานให้ก่อน เนื่องจากเป็นประเทศที่ยังไม่มีความพร้อม
"เครื่องใช้ไฟฟ้าถือเป็นสินค้าที่ไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของอาเซียน ไทยจึงมีความพร้อมในกลุ่มสินค้านี้พอสมควร แต่มีประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ที่เป็นคู่แข่งสำคัญของไทย เนื่องจากมีความสามารถในการผลิตและการค้าใกล้เคียงกับไทย โดยเฉพาะมาเลเซียมีฐานการผลิตภายในประเทศที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งประเทศที่เป็นคู่แข่งของไทยคือ เวียดนาม ที่มีความพร้อมในการเปิดรับการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยกำลังมีปัญหาด้านการลงทุนของอุตสาหกรรมที่เชื่อม โยงกับสิ่งแวดล้อม"
นายชัยยงกล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นกังวลหากไทยจะเข้าสู่เขตการค้าเสรีอย่างเต็มรูปแบบ คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านการลงทุนเพิ่มเติม ทั้งการวิจัยพัฒนา โครงสร้างการตรวจสอบเพื่อให้การรับรองสินค้า โดยกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งเป็นกระทรวงที่ทำหน้าที่ดูแลคุณภาพสินค้าได้งบ ประมาณจากโครงการไทยเข้มแข็ง ระยะเวลา 3 ปี วงเงิน 750 ล้านบาท พัฒนา 4 สถาบัน คือ สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันยานยนต์ สถาบันสิ่งทอ และสถาบันอาหาร ทั้งนี้ งบประมาณดังกล่าวถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกที่ประเทศได้ รับ
นายชัยยงกล่าวว่า การนำข้อตกลงเขตการค้าเสรีมาใช้ในกลุ่มประเทศอาเซียน คงต้องใช้หลักผ่อนปรนลักษณะช่วยเหลือและดึงกันไปก่อน เพราะกลุ่มประเทศอาเซียนยังมีความแตกต่างด้านการพัฒนาประเทศค่อนข้างมาก ไม่เหมือนกลุ่มประเทศยุโรปที่รวมตัวแล้วประสบความสำเร็จ เนื่องจากมีความพร้อม มีเอกภาพ และไม่มีความต่างด้านการพัฒนาประเทศมากนัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น